รากฟันเทียมหลุด ทำอย่างไร รับมือและป้องกันอย่างถูกวิธี

Petcharadentalclinic • July 18, 2025

รากฟันเทียมหลุด ทำอย่างไร? รับมือและป้องกันอย่างถูกวิธี

รากฟันเทียมหลุด ทำอย่างไร? รับมือและป้องกันอย่างถูกวิธี

การตัดสินใจ ทำรากฟันเทียม ถือเป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพช่องปากและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารากฟันเทียมจะมีอัตราความสำเร็จสูง แต่ก็มีโอกาสที่รากฟันเทียมจะหลวมหรือหลุดได้เช่นกัน หากคุณกำลังเผชิญกับปัญหานี้ ไม่ต้องกังวล บทความนี้จะบอกวิธีรับมือที่ถูกต้อง พร้อมทั้งแนะนำแนวทางการป้องกัน เพื่อให้คุณมั่นใจกับรอยยิ้มได้อีกครั้ง


ทำไมรากฟันเทียมถึงหลวมหรือหลุด?


รากฟันเทียม ถือเป็นนวัตกรรมที่เข้ามาช่วยทดแทนฟันแท้ที่เสียไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยอัตราความสำเร็จที่สูงถึง 95-98% ทำให้หลายคนมั่นใจในการเลือกวิธีนี้ อย่างไรก็ตาม แม้จะทนทานและแข็งแรง แต่ก็มีโอกาสที่รากฟันเทียมจะเกิดปัญหา หลวม หรือ หลุด ออกมาได้เช่นกัน ซึ่งสร้างความกังวลใจให้กับผู้ที่ปลูกรากฟันเทียมเป็นอย่างมาก บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกถึงสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้เกิดปัญหานี้ เพื่อให้คุณเข้าใจและสามารถดูแลรากฟันเทียมได้อย่างถูกต้อง


1. การยึดติดกับกระดูกไม่สมบูรณ์ (Osseointegration Failure)

นี่คือสาเหตุสำคัญอันดับต้น ๆ ที่ทำให้รากฟันเทียมไม่ประสบความสำเร็จตั้งแต่แรกเริ่ม Osseointegration คือกระบวนการที่กระดูกขากรรไกรเจริญเติบโตเข้าไปยึดติดกับพื้นผิวของรากฟันเทียมอย่างแน่นหนา หากกระบวนการนี้ไม่เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ รากฟันเทียมก็จะไม่มั่นคงและมีโอกาสหลวมหรือหลุดได้ สาเหตุของการยึดติดล้มเหลว ได้แก่:


  • คุณภาพและปริมาณกระดูกไม่เพียงพอ: เป็นปัจจัยสำคัญที่สุด หากกระดูกบริเวณที่จะปลูกรากฟันเทียมมีปริมาณน้อยเกินไป หรือมีความหนาแน่นไม่เพียงพอ ก็จะทำให้รากฟันเทียมไม่สามารถยึดเกาะได้อย่างมั่นคง
  • การติดเชื้อระหว่างหรือหลังการผ่าตัด: การติดเชื้อในระยะแรกเริ่มอาจขัดขวางกระบวนการสมานของกระดูก ทำให้กระดูกไม่สามารถเจริญเติบโตมายึดกับรากฟันเทียมได้
  • แรงกดหรือแรงกระแทกมากเกินไป: หากมีการใส่แรงกดบนรากฟันเทียมมากเกินไปในช่วงที่กระดูกกำลังสร้างตัว (ระยะ Osseointegration) เช่น การเคี้ยวอาหารแข็ง ๆ หรือการใส่ฟันปลอมชั่วคราวที่ไม่พอดี อาจรบกวนกระบวนการยึดติดได้
  • โรคประจำตัวบางชนิด: เช่น โรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดี หรือโรคกระดูกพรุนรุนแรง อาจส่งผลต่อความสามารถในการสร้างกระดูก
  • การสูบบุหรี่: สารเคมีในบุหรี่ขัดขวางการไหลเวียนของเลือดและการสมานแผล ซึ่งส่งผลเสียต่อกระบวนการ Osseointegration อย่างมาก



2. การติดเชื้อรอบรากฟันเทียม (Peri-implantitis)

คล้ายกับโรคเหงือกอักเสบและโรคปริทันต์ในฟันธรรมชาติ Peri-implantitis คือการอักเสบและการติดเชื้อของเนื้อเยื่อและกระดูกที่อยู่รอบ ๆ รากฟันเทียม หากไม่ได้รับการรักษา การติดเชื้อจะลุกลามและทำลายกระดูกที่รองรับรากฟันเทียม จนทำให้รากฟันเทียมค่อย ๆ หลวม และ หลุด ในที่สุด สาเหตุหลักของการติดเชื้อนี้คือ:


  • สุขอนามัยช่องปากที่ไม่ดี: การแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันไม่เพียงพอ ทำให้เกิดการสะสมของคราบจุลินทรีย์ (Plaque) และหินปูน (Calculus) รอบ ๆ รากฟันเทียม ซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของแบคทีเรีย
  • การทำความสะอาดรากฟันเทียมที่ยาก: บางครั้งตำแหน่งของรากฟันเทียมหรือโครงสร้างของครอบฟันที่อยู่ด้านบน อาจทำให้การทำความสะอาดเป็นไปได้ยาก
  • แรงบดเคี้ยวที่มากเกินไป: แรงกระแทกจากการกัดฟัน หรือการเคี้ยวที่ผิดปกติ อาจทำให้เกิดการอักเสบเล็กน้อยรอบรากฟันเทียม ซึ่งจะเอื้อต่อการติดเชื้อ
  • การตรวจสุขภาพฟันไม่สม่ำเสมอ: การไม่เข้าพบทันตแพทย์เพื่อตรวจเช็คและทำความสะอาดฟันเป็นประจำ ทำให้ไม่สามารถตรวจพบและรักษาการติดเชื้อได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น



3. แรงบดเคี้ยวที่ผิดปกติหรือมากเกินไป (Excessive Occlusal Forces)

แม้รากฟันเทียมจะแข็งแรง แต่ก็ไม่สามารถทนทานต่อแรงบดเคี้ยวที่ผิดปกติหรือรุนแรงได้อย่างไม่มีจำกัด แรงเหล่านี้สามารถสร้างความเสียหายต่อโครงสร้างของรากฟันเทียมและกระดูกรอบ ๆ ได้:

  • การนอนกัดฟัน (Bruxism): พฤติกรรมการนอนกัดฟันหรือการบดฟันโดยไม่รู้ตัว จะสร้างแรงกดมหาศาลบนฟันและรากฟันเทียม ซึ่งอาจนำไปสู่การคลายตัวของสกรู หรือการเสียหายของกระดูกรอบ ๆ
  • ฟันสบกระแทก (Occlusal Trauma): การสบฟันที่ผิดปกติ หรือการมีฟันบนและฟันล่างที่สบกันไม่พอดี อาจทำให้เกิดแรงกระแทกเฉพาะจุดบนรากฟันเทียมมากเกินไป
  • การใช้รากฟันเทียมผิดประเภท: เช่น การใช้รากฟันเทียมในการเปิดขวด หรือกัดของแข็งที่ผิดปกติวิสัย
  • การวางแผนการรักษาที่ไม่เหมาะสม: การออกแบบจำนวนรากฟันเทียมที่ไม่เพียงพอต่อการรับแรงบดเคี้ยว หรือการเลือกขนาดและตำแหน่งของรากฟันเทียมที่ไม่เหมาะสมกับสภาวะช่องปากของผู้ป่วย



4. ปัญหาเกี่ยวกับตัวรากฟันเทียมหรือส่วนประกอบ (Implant Component Issues)

บางครั้งปัญหาไม่ได้อยู่ที่กระดูกหรือการติดเชื้อ แต่อยู่ที่ตัววัสดุหรือชิ้นส่วนของรากฟันเทียมเอง:

  • สกรูหลวม (Loose Screw): รากฟันเทียมประกอบด้วยชิ้นส่วนหลายชิ้นที่ยึดติดกันด้วยสกรู หากสกรูที่เชื่อมระหว่างรากฟันเทียมกับครอบฟันหลวม อาจทำให้ครอบฟันโยกได้ ซึ่งดูเหมือนรากฟันเทียมหลวม แต่จริง ๆ แล้วตัวรากฟันเทียมที่ฝังในกระดูกยังคงแน่นอยู่
  • รากฟันเทียมแตกหัก: แม้จะเกิดขึ้นได้ยากมาก แต่หากรากฟันเทียมได้รับแรงกระแทกรุนแรงผิดปกติ หรือมีข้อบกพร่องจากการผลิต ก็อาจเกิดการแตกหักได้
  • คุณภาพของวัสดุ: การใช้วัสดุที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือมีข้อบกพร่องจากการผลิต อาจนำไปสู่ความล้มเหลวของรากฟันเทียมได้



5. ปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

นอกจากสาเหตุหลัก ๆ ข้างต้น ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงให้รากฟันเทียมเกิดปัญหาได้:

  • อุบัติเหตุหรือการบาดเจ็บ: การได้รับแรงกระแทกอย่างรุนแรงบริเวณใบหน้าหรือช่องปากโดยตรง อาจทำให้รากฟันเทียมเคลื่อนที่หรือหลุดออกได้
  • การใช้ยาบางชนิด: ยาบางชนิด เช่น ยากลุ่ม Bisphosphonates ที่ใช้รักษาโรคกระดูกพรุน อาจส่งผลกระทบต่อกระบวนการสมานของกระดูก
  • การวินิจฉัยและการวางแผนที่ไม่ละเอียดพอ: หากทันตแพทย์ไม่ได้ประเมินสภาพช่องปากและกระดูกอย่างละเอียด หรือวางแผนการรักษาที่ไม่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงของความล้มเหลว
  • ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของทันตแพทย์: การปลูกรากฟันเทียมเป็นหัตถการที่ต้องอาศัยความชำนาญ หากทันตแพทย์ไม่มีประสบการณ์มากพอ อาจเกิดข้อผิดพลาดในการปลูกได้



รากฟันเทียมหลวม/หลุด ทำอย่างไร?


การมี รากฟันเทียม ถือเป็นการลงทุนครั้งสำคัญเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ช่วยให้คุณกลับมาเคี้ยวอาหารได้อย่างเป็นธรรมชาติ และยิ้มได้อย่างมั่นใจ แต่บางครั้ง แม้จะดูแลเป็นอย่างดี ก็อาจเกิดปัญหา รากฟันเทียมหลวม หรือ หลุด ขึ้นได้ ซึ่งสร้างความกังวลใจไม่น้อย หากคุณกำลังเผชิญกับสถานการณ์นี้ ไม่ต้องตกใจ บทความนี้จะแนะนำวิธีรับมือที่ถูกต้อง พร้อมทั้งอธิบายขั้นตอนการรักษา เพื่อให้คุณเข้าใจและสามารถกลับมามีรอยยิ้มที่สมบูรณ์ได้อีกครั้ง



สัญญาณเตือน: เมื่อรากฟันเทียมเริ่มมีปัญหา

ก่อนที่รากฟันเทียมจะหลุดออกมาทั้งหมด มักจะมีสัญญาณเตือนบางอย่างที่คุณสามารถสังเกตได้:

  • ครอบฟันโยก: หากคุณรู้สึกว่าครอบฟันบนรากฟันเทียมโยกได้เล็กน้อย หรือมีเสียงแปลกๆ ขณะเคี้ยว
  • รู้สึกเจ็บหรือเสียวบริเวณรากฟันเทียม: โดยเฉพาะเมื่อมีแรงกดหรือขณะเคี้ยวอาหาร
  • เหงือกบวม แดง หรือมีเลือดออก: บริเวณรอบๆ รากฟันเทียม อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ
  • มีหนองออกมาจากบริเวณรากฟันเทียม: เป็นสัญญาณชัดเจนของการติดเชื้อรุนแรง
  • มีกลิ่นปากผิดปกติ: อาจบ่งบอกถึงการติดเชื้อที่ซ่อนอยู่
  • รากฟันเทียมเคลื่อนที่หรือรู้สึกได้ว่าไม่มั่นคง: นี่คือสัญญาณอันตรายที่ต้องรีบพบทันตแพทย์ทันที



รากฟันเทียมหลวมหรือหลุด ต้องทำอย่างไร? (Step-by-step)


เมื่อคุณพบว่า รากฟันเทียมหลวม หรือ หลุด ออกมาทั้งหมด สิ่งสำคัญที่สุดคือการตั้งสติและปฏิบัติตามขั้นตอนเหล่านี้:

  1. ตั้งสติและอย่าตกใจ: ความตื่นตระหนกอาจทำให้คุณตัดสินใจผิดพลาดได้ สิ่งสำคัญคือการใจเย็นและรู้ว่าปัญหานี้สามารถแก้ไขได้
  2. ห้ามใส่รากฟันเทียมกลับเข้าไปเองเด็ดขาด: การพยายามใส่รากฟันเทียมกลับเข้าไปเองอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อเหงือก กระดูก หรืออาจดันเชื้อโรคเข้าไปในโพรงกระดูกได้
  3. เก็บรากฟันเทียมและส่วนประกอบทั้งหมด: หากรากฟันเทียมหลุดออกมาทั้งชิ้น ให้เก็บรากฟันเทียม รวมถึงสกรู หรือชิ้นส่วนอื่นๆ ที่หลุดออกมา ใส่ในภาชนะที่สะอาด ปิดสนิท เช่น กล่องเล็กๆ หรือถุงซิปล็อก เพื่อนำไปให้ทันตแพทย์ตรวจสอบ
  4. ติดต่อทันตแพทย์ทันที: นี่คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุด! โทรศัพท์หาคลินิกทันตกรรมที่คุณทำการปลูกรากฟันเทียม หรือทันตแพทย์ประจำของคุณโดยเร็วที่สุด แจ้งอาการที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด เพื่อให้ทันตแพทย์สามารถนัดหมายและเตรียมตัวสำหรับการตรวจรักษาได้อย่างเหมาะสม
  5. หลีกเลี่ยงการใช้งานบริเวณนั้น: ในระหว่างที่รอพบทันตแพทย์ พยายามอย่าใช้ฟันบริเวณที่รากฟันเทียมหลวมหรือหลุดในการเคี้ยวอาหาร เพื่อป้องกันการบาดเจ็บเพิ่มเติมต่อเหงือก กระดูก หรือฟันซี่อื่นๆ
  6. ดูแลสุขอนามัยช่องปากเบื้องต้น: บ้วนปากด้วยน้ำเกลืออุ่นๆ อย่างอ่อนโยน เพื่อช่วยลดการอักเสบและทำความสะอาดช่องปาก ไม่ควรแปรงฟันอย่างรุนแรงบริเวณที่เกิดปัญหา



แนวทางการรักษาเมื่อรากฟันเทียมมีปัญหา


เมื่อคุณไปพบทันตแพทย์ ทันตแพทย์จะทำการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดเพื่อหาสาเหตุของปัญหา โดยอาจรวมถึงการถ่ายภาพรังสี (X-ray) หรือภาพรังสีสามมิติ (CBCT) เพื่อประเมินสภาพกระดูกและเนื้อเยื่อรอบๆ รากฟันเทียม จากนั้นจะวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุด:


กรณี: สกรูหลวม (Loose Abutment Screw)

เป็นปัญหาที่พบบ่อยที่สุดและแก้ไขได้ง่ายที่สุด ในกรณีนี้ตัวรากฟันเทียมที่ฝังอยู่ในกระดูกยังคงยึดติดแน่นดีอยู่ แต่สกรูที่ยึดครอบฟัน (Abutment) กับรากฟันเทียมเกิดคลายตัว

  • การรักษา: ทันตแพทย์จะทำการขันสกรูให้แน่นขึ้น หรือในบางกรณีอาจจำเป็นต้องเปลี่ยนสกรูใหม่ ซึ่งมักจะใช้เวลาไม่นานและไม่ซับซ้อน


กรณี: รากฟันเทียมหลวมแต่ยังไม่หลุด หรือหลุดออกมาแล้ว

นี่คือสถานการณ์ที่ซับซ้อนกว่าสกรูหลวม และมักบ่งบอกถึงความล้มเหลวของกระบวนการยึดติดกับกระดูก หรือการติดเชื้อ

  • การประเมินสาเหตุ: ทันตแพทย์จะวิเคราะห์อย่างละเอียดว่าเกิดจากอะไร เช่น
  • Osseointegration ไม่สมบูรณ์: กระดูกไม่สามารถยึดติดกับรากฟันเทียมได้อย่างแข็งแรง
  • การติดเชื้อรอบรากฟันเทียม (Peri-implantitis): มีการอักเสบและติดเชื้อรอบๆ รากฟันเทียม ทำให้กระดูกละลายตัว
  • แรงบดเคี้ยวที่มากเกินไป: สร้างความเสียหายต่อรากฟันเทียมและกระดูกรอบข้าง
  • คุณภาพกระดูกไม่เพียงพอตั้งแต่แรก: กระดูกที่รองรับรากฟันเทียมมีปริมาณหรือคุณภาพไม่เหมาะสม
  • แนวทางการรักษาที่เป็นไปได้:
  • ถอดรากฟันเทียมออก: หากรากฟันเทียมไม่สามารถยึดติดกับกระดูกได้ หรือมีการติดเชื้อรุนแรง ทันตแพทย์อาจจำเป็นต้องถอดรากฟันเทียมออก
  • การรักษาการติดเชื้อ: หากมีการติดเชื้อ ทันตแพทย์จะทำการรักษาการติดเชื้อก่อน อาจมีการขูดเกลารากฟัน การใช้ยาปฏิชีวนะ หรือการผ่าตัดเล็กๆ เพื่อกำจัดเนื้อเยื่อที่ติดเชื้อ
  • การปลูกกระดูก (Bone Grafting): หากกระดูกบริเวณนั้นเสียหาย หรือไม่เพียงพอสำหรับการปลูกรากฟันเทียมใหม่ ทันตแพทย์อาจแนะนำให้ทำการปลูกกระดูกเพื่อเสริมสร้างกระดูกให้มีปริมาณและคุณภาพที่เหมาะสมก่อน
  • ปลูกรากฟันเทียมใหม่: หลังจากที่กระดูกและเหงือกฟื้นตัวจากการรักษาและมีสภาพที่เหมาะสมแล้ว ทันตแพทย์อาจพิจารณาทำการปลูกรากฟันเทียมใหม่ในตำแหน่งเดิม หรือในตำแหน่งใกล้เคียงกัน โดยอาจต้องปรับแผนการรักษาให้รัดกุมยิ่งขึ้น
  • ทางเลือกอื่น: หากไม่สามารถปลูกรากฟันเทียมใหม่ได้ อาจพิจารณาทางเลือกอื่น เช่น การทำสะพานฟัน หรือการใส่ฟันปลอมถอดได้



ป้องกันปัญหารากฟันเทียมหลวมหรือหลุด

การป้องกันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเพื่อยืดอายุการใช้งานของรากฟันเทียมให้ยาวนานที่สุด:

  • รักษาสุขอนามัยช่องปากอย่างเคร่งครัด: แปรงฟันให้สะอาดอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ใช้ไหมขัดฟัน และทำความสะอาดซอกฟันด้วยอุปกรณ์ที่ทันตแพทย์แนะนำ โดยเฉพาะบริเวณรอบๆ รากฟันเทียม
  • พบทันตแพทย์ตามนัดหมายเป็นประจำ: ไปพบทันตแพทย์ทุก 6 เดือน เพื่อตรวจสุขภาพช่องปาก ขูดหินปูน และให้ทันตแพทย์ประเมินสภาพของรากฟันเทียมอย่างสม่ำเสมอ
  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง: งดการเคี้ยวของแข็ง การกัดน้ำแข็ง หรือการใช้ฟันเป็นเครื่องมือ หากมีอาการนอนกัดฟัน ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อทำเฝือกสบฟัน (Night Guard)
  • ควบคุมโรคประจำตัว: หากมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพราะโรคเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อกระบวนการสมานแผลและการยึดติดของกระดูก
  • งดสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้รากฟันเทียมล้มเหลว เพราะส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือดและการสมานของเนื้อเยื่อ
  • เลือกทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ: การปลูกรากฟันเทียมควรทำโดยทันตแพทย์ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะ เพื่อให้มั่นใจในขั้นตอนการวินิจฉัย การวางแผน และการผ่าตัด



การรักษาเมื่อรากฟันเทียมหลุด

แนวทางการรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและสภาพของกระดูกและเหงือกบริเวณนั้น ทันตแพทย์จะทำการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด รวมถึงการถ่ายภาพรังสี (X-ray) เพื่อประเมินสถานการณ์ โดยอาจมีแนวทางดังนี้:

  • หากรากฟันเทียมเพียงแค่หลวม: บางครั้งอาจเกิดจากสกรูที่ยึดหลวม ทันตแพทย์อาจขันสกรูให้แน่นขึ้น หรือเปลี่ยนสกรูใหม่
  • หากรากฟันเทียมหลุดออกไปแล้ว และกระดูกเสียหายไม่มาก: ทันตแพทย์อาจทำการปลูกรากฟันเทียมใหม่ได้ โดยอาจต้องมีการปลูกกระดูกเพิ่มเติมก่อน
  • หากมีการติดเชื้อ: ทันตแพทย์จะทำการรักษาการติดเชื้อก่อน อาจมีการขูดเกลารากฟัน หรือการผ่าตัดเล็กๆ เพื่อกำจัดเนื้อเยื่อที่ติดเชื้อ และอาจต้องมีการปลูกกระดูกเพื่อสร้างฐานใหม่
  • หากกระดูกเสียหายมาก: ในบางกรณีที่กระดูกบริเวณนั้นเสียหายรุนแรง อาจไม่สามารถปลูกรากฟันเทียมใหม่ได้ทันที ทันตแพทย์อาจแนะนำทางเลือกการรักษาอื่น เช่น การใช้สะพานฟัน หรือฟันปลอม


การป้องกันไม่ให้รากฟันเทียมหลวมหรือหลุด

การป้องกันเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อยืดอายุการใช้งานของรากฟันเทียมของคุณ ควรปฏิบัติดังนี้:

  • รักษาสุขอนามัยช่องปากอย่างเคร่งครัด: แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ใช้ไหมขัดฟัน และน้ำยาบ้วนปากตามคำแนะนำของทันตแพทย์ เพื่อป้องกันการสะสมของแบคทีเรียที่นำไปสู่การติดเชื้อ
  • พบทันตแพทย์ตามนัดหมาย: ตรวจสุขภาพช่องปากและทำความสะอาดฟันเป็นประจำ (ทุก 6 เดือน) เพื่อให้ทันตแพทย์ได้ตรวจเช็คสภาพของรากฟันเทียมและช่องปากโดยรวม
  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง: งดการกัดของแข็ง การเคี้ยวน้ำแข็ง หรือการใช้ฟันผิดประเภท หากมีอาการนอนกัดฟัน ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อทำเฝือกสบฟัน
  • ควบคุมโรคประจำตัว: หากมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ควรควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • งดสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่ส่งผลเสียต่อการไหลเวียนของเลือดและกระบวนการสมานแผล ซึ่งอาจส่งผลต่อความสำเร็จของรากฟันเทียม
  • เลือกทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ: การปลูกรากฟันเทียมควรทำโดยทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและลดความเสี่ยง


หากคุณกำลังเผชิญกับปัญหารากฟันเทียมหลวมหรือหลุด ไม่ต้องกังวล
เพ็ชราคลินิก พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลทุกขั้นตอน ด้วยทีมทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเทคโนโลยีที่ทันสมัย


เพ็ชราคลินิก: ทางออกเพื่อสุขภาพช่องปากและรอยยิ้มที่มั่นใจของคุณ


เราจะช่วยวินิจฉัยหาสาเหตุ วางแผนการรักษาอย่างละเอียด และแก้ไขปัญหาให้คุณกลับมามีสุขภาพช่องปากที่ดีและรอยยิ้มที่สวยงามได้อย่างมั่นใจอีกครั้ง นัดหมายปรึกษาเราวันนี้


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

 โทร. 094-741-9369


 เวลาเปิด-ปิด วันจันทร์-เสาร์ เวลา 09.00-19.00 น.
พิกัด: 
https://goo.gl/maps/qUCfWj9PNAhcPuyr8

ปรึกษาทันตแพทย์

บทความอื่นๆ

รากฟันเทียมกับการรักษารากฟัน ต่างกันอย่างไร แบบไหนเหมาะกับคุณ
By Petcharadentalclinic July 16, 2025
"รากฟันเทียม" และ "การรักษารากฟัน" สองสิ่งนี้ต่างกันอย่างไร และแบบไหนคือทางออกที่เหมาะสมกับคุณ? บทความนี้จะเจาะลึกความแตกต่าง เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ
ฟอกฟันขาว ราคาเท่าไหร่? คุ้มค่าไหมกับการลงทุนเพื่อรอยยิ้มสดใส!
July 14, 2025
บทความนี้จะเจาะลึกเรื่องราคาของการฟอกฟันขาวแต่ละประเภท พร้อมปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าใช้จ่าย เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ
ฟอกสีฟันแล้วเสียวฟัน รับมืออย่างไร ทำไมถึงเสียวฟันหลังฟอกสีฟัน
By PetcharaDentalClinic July 11, 2025
การฟอกสีฟัน กลายเป็นหนึ่งในบริการทันตกรรมที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ปัญหาหนึ่งที่มักจะมาพร้อมกับการฟอกสีฟันกับหลายคนคือ อาการเสียวฟัน