จัดฟันควรเลือกแบบไหน มารู้จักแต่ละวิธีว่าแตกต่างกันอย่างไร
จัดฟันควรเลือกแบบไหน มารู้จักแต่ละวิธีว่าแตกต่างกันอย่างไร

จัดฟันควรเลือกแบบไหน มารู้จักแต่ละวิธีว่าแตกต่างกันอย่างไร
การจัดฟัน คือหนึ่งในวิธีดูแลสุขภาพช่องปากและความงาม ช่วยให้ฟันเรียงตัวดี สบฟันพอ
การจัดฟัน คือหนึ่งในวิธีดูแลสุขภาพช่องปากและความงาม ช่วยให้ฟันเรียงตัวดี สบฟันพอดี ลดฟันผุ และเพิ่มความมั่นใจในรอยยิ้มของคุณ
การจัดฟันเกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง?
การจัดฟันไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของความสวยงามเท่านั้น แต่ยังช่วยแก้ไขปัญหาดังต่อไปนี้:
- ฟันซ้อนเก
- ฟันยื่น ฟันห่าง
- การสบฟันไม่พอดี เช่น สบลึก สบคร่อม
- ความผิดปกติของขากรรไกร
- ปัญหาการออกเสียงหรือการบดเคี้ยวอาหาร
ทันตแพทย์จัดฟันจะต้องทำการวางแผนการรักษาโดยใช้ การเอกซเรย์, พิมพ์ปาก และเครื่องมืออื่น ๆ เพื่อประเมินสภาพช่องปากอย่างละเอียด
ประโยชน์ของการจัดฟัน
- ปรับปรุงการสบฟัน – ช่วยให้ฟันบนและล่างสบกันได้อย่างเหมาะสม
- เพิ่มประสิทธิภาพในการบดเคี้ยวอาหาร – ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น
- ลดความเสี่ยงในการเกิดฟันผุและโรคเหงือก – เนื่องจากฟันที่เรียงตัวดี ทำความสะอาดง่าย
- ลดการสึกหรอของฟัน – ป้องกันแรงกระแทกหรือแรงบดที่ไม่สมดุล
- เพิ่มความมั่นใจในรอยยิ้ม – ฟันที่เรียงสวยทำให้มั่นใจยิ่งขึ้นในชีวิตประจำวัน
เหตุผลที่ควรเริ่มจัดฟันตั้งแต่เนิ่นๆ
- แก้ปัญหาได้ตั้งแต่ระยะแรก
- ป้องกันการลุกลามของปัญหาอื่นในช่องปาก
- เด็กและวัยรุ่นตอบสนองต่อการจัดฟันได้ดีเพราะยังอยู่ในช่วงเจริญเติบโต
จัดฟัน คืออะไร
การจัดฟัน (Orthodontics) คือหนึ่งในวิธีการรักษาทางทันตกรรมที่ช่วยปรับตำแหน่งของฟันและขากรรไกรให้เรียงตัวอย่างถูกต้อง โดยมีเป้าหมายเพื่อ ปรับปรุงการทำงานของฟัน ให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการบดเคี้ยว การพูด หรือการดูแลสุขภาพช่องปากในระยะยาว
แต่ในปัจจุบัน การจัดฟันไม่ได้จำกัดอยู่แค่ด้านการรักษาเท่านั้น หากยังเป็นการ เสริมบุคลิกภาพและความมั่นใจ ให้กับผู้เข้ารับการรักษาอีกด้วย
จัดฟันมีกี่แบบ? รู้จัก 4 ประเภทของการจัดฟัน พร้อมข้อดีและเหมาะกับใคร
การจัดฟัน (Orthodontic Treatment) เป็นวิธีการรักษาเพื่อแก้ไขการเรียงตัวของฟันและการสบฟันที่ผิดปกติ โดยปัจจุบันสามารถแบ่งการจัดฟันออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ:
- การจัดฟันแบบติดเครื่องมือ (Fixed Appliances)
- การจัดฟันแบบไม่ติดเครื่องมือ (Removable Aligners)
โดยแต่ละประเภทก็มีรูปแบบย่อยให้เลือกตามความเหมาะสมกับผู้เข้ารับการรักษา บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ 4 รูปแบบการจัดฟันยอดนิยม พร้อมข้อมูลข้อดี-ข้อควรรู้ เพื่อช่วยให้คุณเลือกได้อย่างเหมาะสม
ประเภทของการจัดฟันยอดนิยม
1. จัดฟันแบบโลหะ (Metal Braces)
จัดฟันแบบโลหะถือเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมและใช้กันอย่างแพร่หลายมานาน โดยใช้เครื่องมือจัดฟันแบบ Bracket โลหะ ติดไว้ที่ผิวด้านหน้าของฟัน ร้อยลวดผ่านร่อง Bracket และใช้ ยางรัดโอริง เพื่อยึดลวดให้อยู่กับเครื่องมือ
ข้อดี:
- ราคาประหยัด
- เห็นผลลัพธ์ชัดเจน
- เหมาะกับเคสฟันซ้อนหรือสบฟันผิดปกติรุนแรง
เหมาะกับใคร:
- นักเรียน นักศึกษา หรือผู้ที่ต้องการควบคุมงบประมาณ
ผู้ที่สามารถมาพบทันตแพทย์เพื่อปรับเครื่องมือทุกเดือน
2. จัดฟันแบบเซรามิก (Ceramic Braces)
การจัดฟันแบบเซรามิกใช้ Bracket ที่ผลิตจากเซรามิกสีขาวหรือใส ทำให้ดูกลมกลืนกับฟันมากกว่าแบบโลหะ เหมาะกับผู้ที่ต้องการความสวยงามระหว่างจัดฟัน
ข้อดี:
- ดูสวยงาม กลมกลืนกับสีฟัน
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีหน้าที่ต้องพบปะผู้คน
ข้อควรรู้:
- มีราคาสูงกว่าแบบโลหะ
- วัสดุเซรามิกเปราะบางมากกว่า ต้องดูแลเป็นพิเศษ
- ต้องปรับเครื่องมือทุก 4–6 สัปดาห์ ใช้ระยะเวลา 18–30 เดือน
เหมาะกับใคร:
- วัยทำงานที่ใส่ใจภาพลักษณ์
- ผู้ที่ไม่ต้องการให้เห็นเครื่องมือจัดฟันชัดเจน
3. จัดฟันแบบ Self-Ligating Bracket (เช่น Damon System)
Self-Ligating Braces คือการจัดฟันที่ไม่ต้องใช้ยางรัด (O-ring) โดยใช้ กลไกพิเศษในตัว Bracket ที่สามารถล็อกลวดได้เอง ทำให้แรงเสียดทานลดลง และฟันเคลื่อนตัวได้ดีขึ้น
มีให้เลือก 2 แบบหลัก:
- Damon Q: แบบโลหะ
- Damon Clear: แบบใส
ข้อดี:
- ไม่ต้องใช้ยางรัด ลดแรงกดฟัน
- เจ็บน้อยลงเมื่อเทียบกับแบบทั่วไป
- ระยะเวลาการจัดฟันอาจสั้นกว่า
- ทำความสะอาดง่าย ลดความเสี่ยงฟันผุและโรคเหงือก
เหมาะกับใคร:
- ผู้ที่ต้องการความสะดวกและเจ็บน้อย
- เหมาะกับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการลดเวลาการรักษา
4. จัดฟันแบบใส Invisalign (ไม่ติดเครื่องมือ)
การจัดฟันแบบใส (Invisalign) คือหนึ่งในนวัตกรรมทันตกรรมที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน โดยใช้ชุดเครื่องมือจัดฟันแบบ ใสและถอดได้ ช่วยจัดเรียงฟันให้เข้าที่อย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องใช้ลวดเหล็กหรือ Bracket แบบดั้งเดิม จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการ จัดฟันแบบไม่ให้ใครรู้ และไม่อยากให้เครื่องมือส่งผลต่อบุคลิกภาพ
ข้อดี:
- เครื่องมือใส มองแทบไม่เห็น
- ถอดออกได้ขณะรับประทานอาหารหรือแปรงฟัน
- สะดวกสบาย ไม่ระคายเคืองในช่องปาก
- ออกเสียงชัด ไม่ส่งผลต่อการพูด
- เหมาะกับไลฟ์สไตล์มืออาชีพ ดารา นักธุรกิจ หรือผู้ที่ต้องพบปะผู้คน
ข้อควรรู้:
- ต้องใส่วันละ 20–22 ชั่วโมง
- ไม่เหมาะกับผู้ที่ไม่สามารถมีวินัยในการใส่ต่อเนื่อง
- มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการจัดฟันแบบติดเครื่องมือ
เหมาะกับใคร:
- ผู้ใหญ่ที่ต้องการจัดฟันแบบไม่สะดุดภาพลักษณ์
- ผู้ที่ไม่มีปัญหาฟันซ้อนหรือสบฟันรุนแรงมาก
ระยะเวลาในการจัดฟันด้วย Invisalign โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 6 เดือน – 2 ปีขึ้นไป ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของฟันในแต่ละเคส
ประเภทของการจัดฟันแบบ Invisalign
Invisalign ไม่ใช่แค่ "หนึ่งแบบ" แต่แบ่งออกเป็น 5 ประเภทหลัก ตามความซับซ้อนของฟันและจำนวนเครื่องมือที่ใช้ ดังนี้:
1. Invisalign i7 / Express
- เหมาะกับ: เคสง่าย ฟันหน้าเบี้ยวเล็กน้อย 1–2 ซี่
- จำนวนชิ้นจัดฟัน: ไม่เกิน 7 ชิ้น
- ระยะเวลา: ประมาณ 3 เดือน
- จุดเด่น: ใช้เวลาน้อย เห็นผลเร็ว ราคาประหยัดที่สุดในกลุ่ม Invisalign
2. Invisalign Lite
- เหมาะกับ: ปัญหาทันตกรรมระดับเบาถึงปานกลาง เช่น ฟันซ้อนเล็กน้อย
- จำนวนชิ้นจัดฟัน: ไม่เกิน 14 ชิ้น
- ระยะเวลา: ประมาณ 4–6 เดือน
- จุดเด่น: ราคาย่อมเยา จัดฟันได้ทั้งบนและล่าง
3. Invisalign Go
- เหมาะกับ: ปัญหาฟันซ้อนหรือสบฟันผิดปกติปานกลาง
- จำนวนชิ้นจัดฟัน: สูงสุด 20 ชิ้น
- ระยะเวลา: ประมาณ 3–6 เดือน
- จุดเด่น: เป็นที่นิยมในกลุ่มวัยทำงาน ใช้เวลาสั้น ผลลัพธ์ชัดเจน
4. Invisalign Moderate
- เหมาะกับ: ผู้ที่มีปัญหาฟันค่อนข้างซับซ้อน ต้องขยับฟันหลายซี่
- จำนวนชิ้นจัดฟัน: สูงสุด 26 ชิ้น
- ระยะเวลา: ประมาณ 6–12 เดือน
- จุดเด่น: ครอบคลุมปัญหาได้หลากหลายขึ้น ใช้เวลาปานกลาง
5. Invisalign Full / Comprehensive
- เหมาะกับ: ทุกเคสฟันผิดปกติ ทั้งฟันเก ฟันยื่น ฟันห่าง หรือสบฟันผิดปกติ
- จำนวนชิ้นจัดฟัน: ไม่จำกัด (ขึ้นอยู่กับการประเมินของทันตแพทย์)
- ระยะเวลา: 12–24 เดือน
- จุดเด่น: ครอบคลุมทุกปัญหาฟัน เหมาะกับคนที่ต้องการผลลัพธ์ครบถ้วน
แม้ว่าการจัดฟันแบบ Invisalign จะมีให้เลือกหลายประเภท เช่น i7, Lite, Go, Moderate และ Full แต่การเลือกใช้
ไม่สามารถตัดสินใจเองได้ทั้งหมด เพราะต้องขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์อย่างละเอียดจาก
ทันตแพทย์เฉพาะทางจัดฟัน (Orthodontist) ที่มีประสบการณ์
อ่านเพิ่มเติม เปรียบเทียบ จัดฟันใส Invisalign กับจัดฟันโลหะทั่วไป แบบไหนเหมาะกับคุณ?
ปัจจัยที่ทันตแพทย์ใช้ในการประเมิน
- ระดับความซับซ้อนของปัญหาฟัน
เช่น ฟันซ้อนมากน้อยแค่ไหน ฟันห่าง ฟันยื่น หรือสบฟันผิดปกติ - จำนวนฟันที่ต้องเคลื่อน
ถ้าต้องเคลื่อนฟันหลายซี่ อาจต้องใช้ชุดจัดฟันที่มีจำนวน Aligners มากขึ้น - โครงสร้างขากรรไกรและลักษณะการสบฟัน
ซึ่งอาจจำเป็นต้องใช้ Invisalign แบบ Full เพื่อการแก้ไขที่ครอบคลุม - เป้าหมายของผู้เข้ารับการรักษา
เช่น ต้องการผลลัพธ์รวดเร็ว ภาพลักษณ์ขณะจัดฟัน หรือข้อจำกัดด้านงบประมาณ
ทำไมต้องเข้ารับการประเมินก่อนจัดฟันแบบใส?
- เพื่อออกแบบแผนการรักษาเฉพาะบุคคลด้วยซอฟต์แวร์ 3D
- เพื่อให้แน่ใจว่าปัญหาฟันสามารถแก้ไขได้ด้วย Invisalign
- เพื่อหลีกเลี่ยงการเลือกแผนผิดพลาดที่อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของการรักษา
- เพื่อรับคำแนะนำเรื่องงบประมาณและระยะเวลาที่ชัดเจน
แม้ว่า Invisalign จะมีหลายแบบให้เลือก แต่การเลือกใช้ประเภทใด จำเป็นต้องผ่านการประเมินโดยทันตแพทย์เฉพาะทางเท่านั้น เพื่อให้การจัดฟันมีประสิทธิภาพและปลอดภัยที่สุด
หากคุณสนใจจัดฟันแบบใส ควรเริ่มจากการ นัดปรึกษา กับเพ็ชราคลินิก คลินิกทันตกรรมที่ได้มาตรฐานและมีทีมทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการวางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
โทร. 094-741-9369
เวลาเปิด-ปิด วันจันทร์-เสาร์ เวลา 09.00-19.00 น.
พิกัด: https://goo.gl/maps/qUCfWj9PNAhcPuyr8
บทความอื่นๆ

