จัดฟันเหล็กดีไหม 10 คำถามยอดฮิตที่คนอยากจัดฟันต้องรู้

Petcharadentalclinic • September 17, 2025

จัดฟันเหล็กดีไหม? 10 คำถามยอดฮิตที่คนอยากจัดฟันต้องรู้!

จัดฟันเหล็กดีไหม? 10 คำถามยอดฮิตที่คนอยากจัดฟันต้องรู้!

การจัดฟันแบบเหล็กก็ยังคงเป็นทางเลือกยอดนิยมที่พิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพสูงในการแก้ไขปัญหาฟันที่ซับซ้อน ไม่ว่าจะเป็นฟันซ้อน ฟันเก หรือฟันห่าง หากคุณกำลังตัดสินใจว่าจะจัดฟันแบบเหล็กดีไหม บทความนี้ได้รวบรวม 10 คำถามยอดฮิตที่ทุกคนอยากรู้มาให้แล้ว เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจกระบวนการทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ และเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับรอยยิ้มใหม่ที่จะเปลี่ยนชีวิตของคุณให้ดีขึ้น


1.
จัดฟันเหล็กคืออะไร?

การจัดฟันแบบเหล็ก (Traditional Braces) คือการรักษาทางทันตกรรมที่ใช้เครื่องมือโลหะในการแก้ไขปัญหาการเรียงตัวของฟันและขากรรไกรที่ผิดปกติ โดยอาศัยหลักการทางวิทยาศาสตร์ในการใช้แรงทางกายภาพที่เหมาะสมเพื่อค่อยๆ เคลื่อนฟัน ให้กลับมาอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องตามแผนการรักษาที่ทันตแพทย์กำหนดไว้

เครื่องมือจัดฟันแบบเหล็กประกอบด้วยส่วนประกอบหลัก 3 ส่วน ได้แก่:

  • แบร็กเก็ต (Brackets): ชิ้นส่วนโลหะขนาดเล็กที่ทำจากสเตนเลสสตีลหรือไทเทเนียม ทันตแพทย์จะใช้กาวทางทันตกรรมยึดติดชิ้นส่วนเหล่านี้ไว้บนผิวฟันแต่ละซี่ โดยแบร็กเก็ตจะมีช่องสำหรับร้อยลวดจัดฟัน
  • ลวดจัดฟัน (Archwire): ลวดโลหะที่ทำจากวัสดุที่มีคุณสมบัติยืดหยุ่นสูง ทันตแพทย์จะร้อยลวดนี้ผ่านช่องของแบร็กเก็ตบนฟันทุกซี่ ลวดนี้เองคือส่วนสำคัญที่ทำหน้าที่ สร้างแรงดึง และแรงดันอย่างต่อเนื่องไปยังแบร็กเก็ตเพื่อบังคับให้ฟันเคลื่อนที่
  • ยางรัดฟัน (Elastic Bands หรือ O-rings): ยางวงกลมขนาดเล็กที่ใช้รัดลวดจัดฟันให้ติดอยู่กับแบร็กเก็ตในแต่ละซี่ ยางนี้จะช่วยเพิ่มแรงดึงที่จำเป็นในการเคลื่อนฟันให้เป็นไปตามแผนการรักษา โดยทันตแพทย์จะเปลี่ยนยางรัดฟันในทุกๆ ครั้งที่มาปรับเครื่องมือ

หลักการทำงาน:

การจัดฟันแบบเหล็กทำงานโดยการใช้แรงดึงอย่างสม่ำเสมอจากลวดและยางรัดฟัน แรงเหล่านี้จะส่งผ่านไปยังแบร็กเก็ตและต่อไปยังรากฟัน ทำให้กระดูกรอบรากฟันเกิดการสลายตัวและสร้างขึ้นใหม่ในทิศทางที่ถูกต้อง การเคลื่อนฟันนี้จะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ ทีละน้อยในทุกๆ เดือนที่มาปรับเครื่องมือ เพื่อให้ร่างกายมีเวลาปรับตัวและไม่สร้างความเสียหายให้กับรากฟันและเนื้อเยื่อรอบๆ



2. ใครเหมาะกับการจัดฟันเหล็กบ้าง?

การจัดฟันแบบเหล็กเป็นวิธีรักษาที่มีความยืดหยุ่นและสามารถแก้ไขปัญหาทางทันตกรรมได้หลากหลาย จึงเหมาะกับคนไข้ที่มีปัญหาฟันดังต่อไปนี้:

  • ฟันซ้อน (Crowding) และฟันเก (Crooked teeth): ปัญหาที่พบบ่อยที่สุดคือการที่ฟันมีพื้นที่ไม่พอในการเรียงตัว ทำให้ฟันเบียดกันจนซ้อนเก การจัดฟันเหล็กสามารถสร้างพื้นที่และจัดเรียงฟันให้เข้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ฟันห่าง (Spacing): ในกรณีที่ฟันมีช่องว่างระหว่างกันมากเกินไป การจัดฟันเหล็กจะช่วยดึงฟันแต่ละซี่ให้มาชิดกัน ทำให้ไม่มีช่องว่างเหลืออยู่
  • การสบฟันผิดปกติ (Malocclusion): นี่คือปัญหาที่ซับซ้อนกว่าการเรียงตัวของฟันเพียงอย่างเดียว การสบฟันผิดปกติมีหลายประเภท เช่น:
  • ฟันกัดคร่อม (Crossbite): ฟันบนและฟันล่างไม่สบกันอย่างถูกต้อง
  • ฟันกัดเปิด (Open bite): เมื่อสบฟันแล้ว ฟันหน้าบนและล่างไม่แตะกัน
  • ฟันยื่น (Overjet): ฟันหน้าบนยื่นออกมามากกว่าปกติ
  • ฟันกัดลึก (Deep bite): ฟันหน้าบนคร่อมฟันล่างมากเกินไปจนมองไม่เห็นฟันล่าง

นอกจากนี้ การจัดฟันเหล็กยังเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ แม่นยำ และต้องการแก้ไขปัญหาโครงสร้างขากรรไกรในกรณีที่รุนแรง

เนื่องจากเครื่องมือแบบเหล็กมีความแข็งแรงและสามารถใช้แรงในการเคลื่อนฟันได้อย่างควบคุมและมีประสิทธิภาพสูงเมื่อเทียบกับเครื่องมือจัดฟันแบบอื่น ทำให้ทันตแพทย์สามารถวางแผนและปรับการรักษาได้อย่างละเอียดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้



3. ขั้นตอนการจัดฟันมีอะไรบ้าง?

การจัดฟันแบบเหล็กไม่ใช่แค่การติดเครื่องมือแล้วเสร็จ แต่เป็นกระบวนการที่มีหลายขั้นตอนเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยที่สุด โดยแต่ละขั้นตอนมีความสำคัญอย่างยิ่งดังนี้:

  • 1. การปรึกษาและวางแผนการรักษา นี่คือขั้นตอนแรกและสำคัญที่สุด ทันตแพทย์จะทำการ ตรวจสุขภาพช่องปาก ของคุณอย่างละเอียด รวมถึงสอบถามปัญหาและความต้องการของคุณ จากนั้นจะมีการ ถ่ายภาพรังสี (เอกซเรย์) เพื่อดูโครงสร้างฟัน รากฟัน และขากรรไกร รวมถึงอาจมีการพิมพ์ปากเพื่อทำแบบจำลองฟัน จากข้อมูลทั้งหมดนี้ ทันตแพทย์จะสามารถ วินิจฉัยและวางแผนการรักษา เฉพาะบุคคลได้ว่าควรใช้เครื่องมือประเภทไหน, ต้องใช้ระยะเวลาเท่าไร, และจำเป็นต้องถอนฟันหรือไม่
  • 2. การเตรียมช่องปาก (เคลียร์ช่องปาก) ก่อนที่จะติดเครื่องมือจัดฟัน คุณจะต้องมีช่องปากที่สะอาดและสมบูรณ์แข็งแรง ทันตแพทย์จะทำการรักษาปัญหาต่างๆ ที่พบในขั้นตอนแรกให้เรียบร้อยก่อน ซึ่งอาจรวมถึง:
  • การขูดหินปูนและขัดฟัน: เพื่อกำจัดคราบหินปูนและแบคทีเรียที่สะสมอยู่
  • การอุดฟัน: อุดฟันผุให้เรียบร้อยเพื่อป้องกันไม่ให้ผุมากขึ้นหลังติดเครื่องมือ
  • การถอนฟัน: ในบางกรณีที่ฟันมีพื้นที่ไม่พอในการเรียงตัว ทันตแพทย์อาจจำเป็นต้องถอนฟันบางซี่ออกเพื่อให้ฟันซี่อื่นสามารถเคลื่อนที่เข้าที่ได้
  • 3. การติดเครื่องมือจัดฟัน เมื่อช่องปากพร้อมแล้ว ทันตแพทย์จะนัดมาเพื่อติดเครื่องมือ โดยเริ่มจากการติด แบร็กเก็ต ลงบนผิวฟันแต่ละซี่ด้วยกาวชนิดพิเศษ จากนั้นจะทำการร้อย ลวดจัดฟัน เข้ากับแบร็กเก็ต และใช้ ยางรัดฟัน หรือคลิปล็อก (ในกรณีของระบบดามอน) เพื่อยึดลวดให้แน่น ขั้นตอนนี้ใช้เวลาไม่นานและโดยทั่วไปไม่มีอาการเจ็บ
  • 4. การนัดปรับเครื่องมือ หลังจากติดเครื่องมือแล้ว ทันตแพทย์จะนัดคุณมา ปรับเครื่องมือ เป็นประจำทุก 4-6 สัปดาห์ การนัดแต่ละครั้งมีความสำคัญมากเพราะทันตแพทย์จะทำการเปลี่ยนยางรัดฟันและเปลี่ยนลวดจัดฟันให้มีขนาดใหญ่ขึ้นหรือเปลี่ยนชนิดของลวด เพื่อให้ฟันเกิดการเคลื่อนที่ไปตามแผนการรักษาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ทันตแพทย์ยังจะคอยตรวจเช็กสุขภาพช่องปากและให้คำแนะนำในการดูแลตัวเองเพิ่มเติมในทุกครั้งที่มาพบอีกด้วย



4. ใช้เวลาจัดฟันนานแค่ไหน?

หนึ่งในคำถามที่พบบ่อยที่สุดคือ "ต้องจัดฟันนานเท่าไหร่?" ซึ่งคำตอบนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง โดยทั่วไปแล้ว การจัดฟันแบบเหล็กจะใช้ระยะเวลาโดยเฉลี่ยประมาณ 1.5 - 3 ปี แต่ในบางกรณีที่ปัญหาไม่ซับซ้อนมากนักก็อาจใช้เวลาเพียง 6 เดือน - 1 ปี เท่านั้น ขณะที่เคสที่มีปัญหามากอาจใช้เวลานานกว่า 3 ปี

ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อระยะเวลาในการจัดฟัน ได้แก่:

  • ความซับซ้อนของปัญหาฟัน: นี่คือปัจจัยสำคัญที่สุด หากคุณมีปัญหาฟันซ้อนเกมาก ฟันห่างมาก หรือมีปัญหาการสบฟันที่รุนแรงและต้องมีการแก้ไขโครงสร้างขากรรไกรด้วย ระยะเวลาในการรักษาก็จะยาวนานขึ้นตามไปด้วย
  • อายุของผู้จัดฟัน: ในเด็กหรือวัยรุ่นที่กระดูกขากรรไกรยังอยู่ในช่วงการเจริญเติบโต ฟันจะสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าในผู้ใหญ่ที่กระดูกมีความหนาแน่นและแข็งแรงแล้ว
  • ความร่วมมือของคนไข้: การมาพบทันตแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง หากคุณไม่มาตามนัดอย่างต่อเนื่อง การเคลื่อนที่ของฟันก็จะไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ทำให้ระยะเวลาการรักษาต้องยืดออกไป นอกจากนี้ การดูแลความสะอาดช่องปากอย่างดีก็ช่วยลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการรักษาได้ด้วย
  • ประเภทของเครื่องมือจัดฟัน: การจัดฟันแบบเหล็กในระบบดามอน (Damon System) ซึ่งใช้กลไกการเลื่อนตัวเองของลวดจัดฟัน อาจช่วยให้ฟันเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าและใช้ระยะเวลาโดยรวมสั้นกว่าการจัดฟันแบบเหล็กดั้งเดิมที่ใช้ยางรัดฟันในบางกรณี

ดังนั้น การจะทราบระยะเวลาที่แน่นอนในการจัดฟันได้อย่างแม่นยำที่สุดคือการปรึกษาทันตแพทย์เพื่อประเมินปัญหาของคุณโดยเฉพาะ และทำตามคำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัดตลอดการรักษา



5. จัดฟันเจ็บไหม?

หนึ่งในความกังวลแรกๆ ของคนที่อยากจัดฟันคือเรื่องความเจ็บปวด ต้องบอกตามตรงว่า การจัดฟันไม่ได้เจ็บตลอดเวลา แต่ก็มีช่วงที่รู้สึกไม่สบายตัวบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องปกติ

ความรู้สึกเจ็บหรือปวดมักเกิดขึ้นในช่วงแรกๆ ของการรักษา โดยเฉพาะ 2-3 วันแรกหลังจากติดเครื่องมือครั้งแรก และใน ช่วง 1-2 วันหลังการปรับเครื่องมือ ในแต่ละครั้ง คุณจะรู้สึกเหมือนมีแรงกดหรือแรงดึงที่ฟัน ทำให้เกิดอาการ ตึงๆ และปวดเล็กน้อย ซึ่งเป็นสัญญาณว่าฟันของคุณกำลังเริ่มเคลื่อนที่ตามแผนการรักษา

นอกจากนี้ อาจมีอาการเจ็บหรือเป็นแผลในช่องปากเกิดขึ้นได้บ้างในช่วงสัปดาห์แรก เนื่องจากกระพุ้งแก้มและลิ้นยังไม่ชินกับการมีเครื่องมือจัดฟันอยู่ภายในปาก


วิธีบรรเทาอาการเจ็บปวดจากการจัดฟัน:

ไม่ต้องกังวลไป เพราะอาการเจ็บเหล่านี้เป็นเพียงชั่วคราวและสามารถบรรเทาได้ง่ายๆ ดังนี้:

  • ทานยาแก้ปวด: หากรู้สึกปวดมาก คุณสามารถทานยาแก้ปวดที่หาซื้อได้ทั่วไป เช่น พาราเซตามอล (Paracetamol) ตามคำแนะนำของทันตแพทย์
  • รับประทานอาหารอ่อนๆ: ในช่วง 2-3 วันแรก ควรเน้นอาหารที่เคี้ยวง่าย เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม ไข่ตุ๋น หรือซุป เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้แรงบดเคี้ยว
  • ใช้น้ำยาบ้วนปากและขี้ผึ้ง: หากมีแผลในช่องปาก สามารถใช้น้ำเกลืออุ่นๆ บ้วนปาก หรือใช้ขี้ผึ้งจัดฟัน (Orthodontic Wax) ที่ทันตแพทย์ให้มาแปะบนแบร็กเก็ตส่วนที่บาดกระพุ้งแก้ม เพื่อลดการเสียดสีและช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
  • ประคบเย็น: การประคบเย็นบริเวณใบหน้าด้านนอกที่รู้สึกตึงหรือปวดก็สามารถช่วยบรรเทาอาการได้เช่นกัน

อาการเจ็บปวดจากการจัดฟันจะค่อยๆ ลดลงเมื่อเวลาผ่านไป และร่างกายของคุณจะปรับตัวเข้ากับเครื่องมือได้เองในที่สุด



6. ต้องดูแลความสะอาดอย่างไร?

การดูแลความสะอาดช่องปากระหว่างการจัดฟันแบบเหล็กเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะเศษอาหารและคราบจุลินทรีย์จะเข้าไปติดอยู่ตามซอกฟันและเครื่องมือได้ง่าย หากละเลยอาจทำให้เกิดฟันผุและปัญหาเหงือกตามมาได้ง่ายกว่าปกติมาก

คำแนะนำในการดูแลความสะอาด:

  • แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง หรือหลังอาหารทุกมื้อ: ใช้แปรงสีฟันสำหรับคนจัดฟันโดยเฉพาะที่มีหัวแปรงรูปตัว V เพื่อให้ทำความสะอาดได้ทั่วถึงทั้งบนและล่างของลวดจัดฟัน
  • ใช้แปรงซอกฟัน (Interdental Brush): แปรงขนาดเล็กนี้มีประโยชน์อย่างมากในการทำความสะอาดบริเวณใต้ลวดจัดฟันและซอกฟันที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ด้วยแปรงปกติ
  • ใช้ไหมขัดฟันสำหรับคนจัดฟัน (Floss Threaders): ไหมขัดฟันทั่วไปไม่สามารถลอดใต้ลวดได้ จึงต้องใช้ตัวช่วยสอดไหมขัดฟัน เพื่อทำความสะอาดระหว่างซอกฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ใช้น้ำยาบ้วนปากและแปรงลิ้น: ควรใช้น้ำยาบ้วนปากที่ผสมฟลูออไรด์และแปรงลิ้นอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดการสะสมของแบคทีเรียและทำให้ช่องปากสะอาดสดชื่นยิ่งขึ้น

การดูแลความสะอาดอย่างถูกวิธีจะช่วยให้การจัดฟันเป็นไปอย่างราบรื่นและลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาฟันในอนาคต



7. อาหารที่ควรเลี่ยงมีอะไรบ้าง?

เมื่อเริ่มต้นจัดฟันแบบเหล็กแล้ว "เรื่องกิน" ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะหากเลือกอาหารไม่เหมาะสม อาจทำให้เครื่องมือจัดฟันหลุดหรือเสียหายได้ ซึ่งจะส่งผลให้แผนการรักษาต้องล่าช้าออกไป ดังนั้นมาดูกันว่าอาหารประเภทไหนที่คุณควรหลีกเลี่ยงเพื่อรักษาสภาพเครื่องมือให้สมบูรณ์อยู่เสมอ

1. อาหารแข็งและกรอบ

อาหารเหล่านี้เป็นศัตรูตัวฉกาจของเครื่องมือจัดฟัน เพราะแรงกัดที่รุนแรงอาจทำให้ แบร็กเก็ตหลุด หรือ ลวดบิดงอ ได้อย่างง่ายดาย ตัวอย่างอาหารที่คุณควรเลี่ยง ได้แก่:

  • น้ำแข็ง, ถั่ว, และเมล็ดพืช: หลีกเลี่ยงการเคี้ยวโดยเด็ดขาด
  • ขนมขบเคี้ยวประเภทมันฝรั่งแผ่น, คุ้กกี้แข็ง, หรือขนมปังกรอบ: เศษเล็กๆ อาจเข้าไปติดและสร้างความรำคาญ
  • ลูกอมแข็ง: การดูดอมหรือเคี้ยวอาจทำให้เครื่องมือเสียหายได้

2. อาหารเหนียว

อาหารประเภทนี้มีคุณสมบัติในการยืดและติดกับเครื่องมือ ทำให้ทำความสะอาดได้ยากและอาจดึง แบร็กเก็ตหลุด ได้ ควรหลีกเลี่ยง:

  • หมากฝรั่งและทอฟฟี่: ห้ามเคี้ยวเด็ดขาด
  • คาราเมล, ลูกอมเคี้ยวหนึบ: ติดเครื่องมือและทำความสะอาดยาก
  • ขนมประเภทถั่วตัด, ตังเม, หรือช็อกโกแลตเหนียวๆ

3. อาหารที่ต้องใช้ฟันหน้ากัด

การใช้ฟันหน้ากัดอาหารโดยตรงอาจทำให้แรงกระแทกไปที่เครื่องมือมากเกินไป ควรเปลี่ยนวิธีการกินแทนการกัดโดยตรง เช่น

  • ข้าวโพดทั้งฝัก: ควรฝานเมล็ดข้าวโพดออกจากฝักก่อน
  • แอปเปิล, ฝรั่ง, แครอท: ควรหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ พอดีคำแล้วค่อยเคี้ยวด้วยฟันกราม
  • แซนวิชชิ้นหนาหรือเบอร์เกอร์: ควรหั่นเป็นชิ้นพอดีคำก่อนรับประทาน

เคล็ดลับ: การระมัดระวังเรื่องอาหารในช่วงแรกอาจดูยุ่งยาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปคุณจะเริ่มคุ้นชินกับการเลือกกินที่เหมาะสม และการทำความสะอาดช่องปากอย่างสม่ำเสมอหลังมื้ออาหารจะช่วยป้องกันปัญหาฟันผุได้ดีที่สุด



8. จัดฟันเหล็กมีกี่แบบ?

การจัดฟันไม่ได้มีเพียงแบบเดียว แต่มีหลากหลายประเภทที่ทันสมัยขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการและไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนได้ดียิ่งขึ้น มาดูกันว่าปัจจุบันมีการจัดฟันแบบไหนที่ได้รับความนิยมบ้าง เพื่อประกอบการตัดสินใจก่อนเลือกคลินิก


1. จัดฟันแบบติดเครื่องมือ (Braces)

เป็นการจัดฟันที่เราคุ้นเคยกันดีที่สุด โดยทันตแพทย์จะติดเครื่องมือไว้ที่ผิวฟันเพื่อใช้แรงดึงในการเคลื่อนฟัน ซึ่งแบ่งย่อยออกเป็น:

  • จัดฟันแบบโลหะดั้งเดิม (Traditional Metal Braces) เป็นวิธีที่อยู่คู่กับการจัดฟันมานาน และยังคงเป็นตัวเลือกยอดนิยมอันดับต้นๆ เพราะมีราคาเข้าถึงง่ายและมีประสิทธิภาพสูงในการแก้ไขปัญหาฟันที่ซับซ้อน ตั้งแต่ฟันซ้อนเกไปจนถึงปัญหาการสบฟันที่รุนแรง เครื่องมือประกอบด้วยแบร็กเก็ตโลหะ, ลวดจัดฟัน และยางรัดฟันสีสันสดใสที่สามารถเลือกเปลี่ยนได้ตามใจชอบ
  • จัดฟันแบบเซรามิก (Ceramic Braces) หลักการทำงานเหมือนกับแบบโลหะทุกประการ แต่เปลี่ยนวัสดุของแบร็กเก็ตจากโลหะเป็น เซรามิกสีเหมือนฟัน ทำให้เครื่องมือกลมกลืนกับสีฟันตามธรรมชาติมากขึ้น จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการจัดฟันอย่าง discreet หรือไม่ต้องการให้เห็นเหล็กจัดฟันชัดเจน อย่างไรก็ตาม วัสดุเซรามิกจะเปราะบางกว่าโลหะเล็กน้อย และมีราคาสูงกว่า
  • จัดฟันแบบดามอน (Damon System) เป็นระบบที่พัฒนาให้ทันสมัยขึ้น โดยแบร็กเก็ตจะมี คลิปล็อก ในตัว ทำให้ไม่ต้องใช้ยางรัดฟัน ระบบนี้ช่วยลดแรงเสียดทาน ทำให้ฟันเคลื่อนที่ได้นุ่มนวลกว่า รู้สึกเจ็บน้อยกว่า และยังช่วยให้การรักษารวดเร็วขึ้นในบางกรณี นอกจากนี้ ยังสามารถนัดปรับเครื่องมือห่างกว่าแบบปกติได้อีกด้วย


2. จัดฟันแบบใส (Clear Aligners)

เป็นการปฏิวัติวงการจัดฟันที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เพราะไม่ต้องติดเครื่องมือถาวรบนผิวฟัน แต่จะใช้ อุปกรณ์พลาสติกใส ที่ถูกออกแบบมาเฉพาะบุคคลเพื่อสวมครอบไปบนฟัน

  • จัดฟันแบบใส Invisalign ถือเป็นแบรนด์ยอดนิยมที่สุดในตลาด ใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ในการวางแผนการเคลื่อนฟันได้อย่างแม่นยำตั้งแต่ต้นจนจบ ทำให้คนไข้สามารถเห็นภาพผลลัพธ์สุดท้ายได้ตั้งแต่ก่อนเริ่มรักษา ข้อดีคือแทบมองไม่เห็นเครื่องมือเลย สามารถถอดออกได้ขณะรับประทานอาหารและแปรงฟัน ทำให้ดูแลความสะอาดได้ง่ายและใช้ชีวิตประจำวันได้สะดวก แต่มีข้อจำกัดเรื่องราคาที่ค่อนข้างสูง และต้องมีวินัยในการใส่อุปกรณ์อย่างเคร่งครัด

การเลือกวิธีการจัดฟันที่เหมาะสมที่สุดควรพิจารณาจากหลายปัจจัย ทั้งความซับซ้อนของปัญหาฟัน ไลฟ์สไตล์ รวมถึงงบประมาณที่คุณตั้งไว้ การปรึกษาทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้คุณได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องและเหมาะสมที่สุดสำหรับรอยยิ้มของคุณ



9. ค่าใช้จ่ายจัดฟันเหล็กเท่าไหร่?

หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้หลายคนลังเลใจคือเรื่องของค่าใช้จ่าย การจัดฟันแบบเหล็กมีราคาที่สมเหตุสมผลและสามารถวางแผนการเงินได้ไม่ยาก โดยค่าใช้จ่ายโดยรวมจะอยู่ที่ประมาณ 30,000 - 60,000 บาท ขึ้นอยู่กับคลินิก, ประเภทของเครื่องมือ (แบบดั้งเดิมหรือแบบดามอน) และความซับซ้อนของแต่ละเคส

แต่สิ่งสำคัญที่ต้องรู้คือ ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดที่จำเป็นในแต่ละขั้นตอน ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้:

1. ค่าใช้จ่ายก่อนการติดเครื่องมือ (ค่าเคลียร์ช่องปาก) ขั้นตอนนี้สำคัญมากเพื่อเตรียมช่องปากให้พร้อมที่สุดก่อนการจัดฟัน โดยค่าใช้จ่ายจะแตกต่างกันไปตามปัญหาที่พบในแต่ละบุคคล ซึ่งอาจประกอบด้วย:

  • ค่าขูดหินปูน: ประมาณ 700 - 1,500 บาท
  • ค่าอุดฟัน: ประมาณ 800 - 1,500 บาทต่อซี่
  • ค่าถอนฟัน: ประมาณ 700 - 1,500 บาทต่อซี่
  • ค่าผ่าฟันคุด: ประมาณ 2,500 - 5,000 บาทต่อซี่ (ขึ้นอยู่กับความยากง่าย)
  • ค่าเอกซเรย์และพิมพ์ปาก: ประมาณ 1,000 - 2,500 บาท

2. ค่าใช้จ่ายระหว่างการจัดฟัน ส่วนนี้คือค่าใช้จ่ายหลักของการจัดฟัน โดยคลินิกส่วนใหญ่จะมี แพ็กเกจผ่อนชำระ ให้เลือกเพื่อแบ่งเบาภาระทางการเงิน โดยอาจจะให้จ่ายเงินก้อนแรกจำนวนหนึ่งในวันติดเครื่องมือ และหลังจากนั้นก็จ่ายเป็นรายเดือนตามนัดปรับเครื่องมือ ซึ่งโดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 1,000 - 1,500 บาทต่อเดือน

3. ค่าใช้จ่ายหลังการจัดฟัน เมื่อจัดฟันเสร็จแล้ว คุณจำเป็นต้องใส่รีเทนเนอร์เพื่อคงสภาพฟันไม่ให้เคลื่อนที่กลับไปที่เดิม ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม โดยราคาของรีเทนเนอร์จะอยู่ที่ประมาณ 3,000 - 5,000 บาทต่อคู่ และหากทำรีเทนเนอร์หายหรือชำรุดก็จะมีค่าใช้จ่ายในการทำใหม่

การสอบถามรายละเอียดค่าใช้จ่ายทั้งหมดกับคลินิกที่คุณสนใจอย่างชัดเจนตั้งแต่แรกจะช่วยให้คุณวางแผนการเงินได้อย่างแม่นยำและไม่มีค่าใช้จ่ายแฝงที่ไม่คาดคิดตามมาภายหลัง


10. จัดฟันเสร็จแล้วต้องทำอะไรต่อ?

หลังจากผ่านการรักษามาอย่างยาวนาน เมื่อทันตแพทย์ถอดเครื่องมือจัดฟันออกแล้ว ก็เท่ากับว่าคุณได้เข้าสู่ช่วงสุดท้ายที่สำคัญที่สุดของการจัดฟัน นั่นคือ การใส่รีเทนเนอร์ (Retainer)

รีเทนเนอร์คืออุปกรณ์ที่จะช่วย คงสภาพฟัน ที่จัดแล้วให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องอย่างถาวร เพราะหากไม่มีรีเทนเนอร์ ฟันที่ผ่านการเคลื่อนที่มาอย่างต่อเนื่องก็มีโอกาสที่จะขยับกลับไปในตำแหน่งเดิมได้อีกครั้ง ซึ่งจะทำให้การรักษาทั้งหมดที่ผ่านมาสูญเปล่า

ความสำคัญของการใส่รีเทนเนอร์

การใส่รีเทนเนอร์อย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำของทันตแพทย์คือหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้คุณมีรอยยิ้มที่สวยงามไปได้อย่างยาวนานที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงแรกหลังจากถอดเครื่องมือ เพราะเป็นช่วงที่กระดูกรอบรากฟันยังไม่แข็งแรงเต็มที่

  • ช่วง 1 ปีแรก: ทันตแพทย์จะแนะนำให้ใส่รีเทนเนอร์เกือบตลอดเวลา ยกเว้นตอนรับประทานอาหารและแปรงฟัน
  • หลังจาก 1 ปีไปแล้ว: ทันตแพทย์อาจให้ลดเวลาใส่ลงเหลือแค่ตอนนอน หรือตามคำแนะนำเป็นรายบุคคล

นอกจากนี้ การดูแลความสะอาดของรีเทนเนอร์ก็สำคัญไม่แพ้กัน ควรทำความสะอาดด้วยแปรงสีฟันและน้ำสบู่อ่อนๆ ทุกครั้งหลังใช้งาน เพื่อป้องกันการสะสมของคราบและกลิ่นไม่พึงประสงค์

อย่ามองว่าการใส่รีเทนเนอร์เป็นภาระ แต่ให้มองว่าเป็นการลงทุนเล็กๆ น้อยๆ เพื่อรักษาสุขภาพฟันและรอยยิ้มที่สวยงามของคุณไปได้อย่างยั่งยืน

การตัดสินใจจัดฟันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เมื่อได้ทำความเข้าใจถึงข้อมูลสำคัญต่างๆ แล้ว จะเห็นได้ว่าการจัดฟันแบบเหล็กยังคงเป็นวิธีที่คุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูงในการแก้ไขปัญหาฟันที่ซับซ้อน ตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมตัว, การดูแลระหว่างจัดฟัน, ไปจนถึงการใส่รีเทนเนอร์เพื่อคงสภาพฟัน ทุกขั้นตอนล้วนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผลลัพธ์ที่จะได้รับ


ทำไมต้องเลือก "เพ็ชราคลินิก" สำหรับการจัดฟัน?

เมื่อคุณได้ทำความเข้าใจถึงข้อมูลการจัดฟันทั้งหมดแล้ว สิ่งสำคัญต่อมาคือการเลือกคลินิกที่มีคุณภาพและทันตแพทย์ที่เชี่ยวชาญ ซึ่ง เพ็ชราคลินิก พร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการเดินทางสู่รอยยิ้มที่สมบูรณ์แบบของคุณ


ที่เพ็ชราคลินิก เราให้ความสำคัญกับการรักษาที่ได้มาตรฐาน โดยทีมทันตแพทย์ของเรามีความเชี่ยวชาญด้านการจัดฟันโดยเฉพาะ พร้อมให้คำปรึกษาและวางแผนการรักษาอย่างละเอียดในทุกขั้นตอน เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าจะได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุด นอกจากนี้ เรายังใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพและใช้เวลาสั้นลง ที่สำคัญคือเรามีแพ็กเกจการชำระเงินที่หลากหลาย เพื่อให้การจัดฟันเป็นเรื่องที่เข้าถึงง่ายสำหรับทุกคน


เพราะรอยยิ้มที่สวยงามคือการลงทุนที่คุ้มค่า มาให้เพ็ชราคลินิกดูแลรอยยิ้มของคุณตั้งแต่วันแรกจนถึงวันที่คุณยิ้มได้อย่างมั่นใจ


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

 โทร. 094-741-9369


 เวลาเปิด-ปิด วันจันทร์-เสาร์ เวลา 09.00-19.00 น.
พิกัด: 
https://goo.gl/maps/qUCfWj9PNAhcPuyr8

ปรึกษาทันตแพทย์

บทความอื่นๆ

pain-after-braces-causes-remedy-care
By Petcharadentalclinic September 8, 2025
อาการปวดฟัน หลังจัดฟัน ถือเป็นเรื่องปกติที่ผู้จัดฟันส่วนใหญ่ต้องเจอ และสามารถจัดการได้ด้วยวิธีที่ถูกต้อง บทความนี้แนะนำวิธีบรรเทาและดูแลตัวเองอย่างละเอียด
Small-teeth-orthodontics-guide
By Petcharadentalclinic September 5, 2025
ปัญหาฟันเล็กอาจทำให้หลายคนไม่มั่นใจในรอยยิ้ม และเกิดคำถามว่า "ฟันเล็ก จัดฟันได้ไหม?" บทความนี้จะให้ข้อมูลเพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
phetcharaclinic-pain-after-braces
By Petcharadentalclinic September 1, 2025
จัดฟันครั้งแรก อาการปวดฟันบทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจว่าอาการปวดที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติ และมีวิธีบรรเทาอาการเหล่านั้นได้อย่างไรบ้าง