10 สิ่งที่ต้องรู้เกี่ยวกับการฟอกสีฟัน
10 สิ่งที่ต้องรู้เกี่ยวกับการฟอกสีฟัน

10 สิ่งที่ต้องรู้เกี่ยวกับการฟอกสีฟัน
การมีรอยยิ้มที่สดใส ฟันขาวสะอาด เป็นความปรารถนาของหลายคน และ การฟอกสีฟัน ก็เป็นหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในการปรับปรุงสีฟันให้ขาวขึ้นอย่างรวดเร็วและเห็นผลชัดเจน แต่ก่อนที่คุณจะตัดสินใจฟอกสีฟัน มี 10 สิ่งสำคัญที่คุณควรรู้เพื่อประกอบการตัดสินใจและเตรียมพร้อมรับผลลัพธ์ที่ดีที่สุด:
1. ทำไมฟันถึงไม่ขาวเหมือนเดิม?เจาะลึกสาเหตุของฟันเหลืองและคล้ำ
รอยยิ้มที่สดใสกับฟันขาวสะอาดคือสิ่งที่หลายคนปรารถนา แต่บ่อยครั้งเรากลับพบว่าฟันของเราเริ่มมีสีคล้ำขึ้น เหลืองขึ้น หรือมีคราบที่ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น สาเหตุเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเองโดยไม่มีที่มา แต่เกิดจากปัจจัยหลายอย่างที่เราอาจไม่ทันสังเกต เพื่อให้เข้าใจและดูแลสุขภาพฟันได้อย่างถูกจุด มาดูกันว่าอะไรคือต้นเหตุที่ทำให้ฟันของคุณไม่ขาวเหมือนเดิม
สาเหตุหลักที่ทำให้ฟันเปลี่ยนสีและดูไม่ขาวใส
ฟันของเรามีโครงสร้างหลักสองส่วนที่สำคัญคือ เคลือบฟัน (Enamel) ซึ่งเป็นชั้นนอกสุดที่ปกป้องฟัน และ เนื้อฟัน (Dentin) ซึ่งอยู่ใต้เคลือบฟันและมีสีเหลืองอ่อนตามธรรมชาติ เมื่อเวลาผ่านไปหรือมีปัจจัยกระตุ้นบางอย่าง ฟันของเราก็สามารถเปลี่ยนสีได้ โดยสาเหตุหลักๆ ได้แก่:
- อาหารและเครื่องดื่มในชีวิตประจำวัน
- เครื่องดื่มมีสีเข้ม: ชา กาแฟ ไวน์แดง โคล่า และน้ำผลไม้ที่มีสีเข้ม เช่น น้ำองุ่น น้ำเบอร์รี่ ถือเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ฟันเหลือง เพราะมีสารโครโมเจน (Chromogens) ที่มีสีเข้ม ซึ่งสามารถเกาะติดกับเคลือบฟันและซึมเข้าไปในเนื้อฟันได้ง่าย
- อาหารที่มีสีจัด: แกงกะหรี่ ซอสมะเขือเทศ ซอสถั่วเหลือง หรือผักผลไม้บางชนิดที่มีเม็ดสีเข้ม ก็สามารถทิ้งคราบไว้บนผิวฟันได้เช่นกัน
- อาหารที่มีความเป็นกรดสูง: มะนาว ส้ม หรือน้ำอัดลม ถึงแม้จะไม่มีสีเข้มโดยตรง แต่อาจทำให้เคลือบฟันอ่อนแอลง ทำให้เม็ดสีจากอาหารและเครื่องดื่มอื่นๆ ซึมเข้าไปในเนื้อฟันได้ง่ายขึ้น
- การสูบบุหรี่
- นี่คือหนึ่งในสาเหตุที่ชัดเจนที่สุดของการเปลี่ยนสีฟัน สารเคมีอย่าง นิโคตินและทาร์ ในบุหรี่จะซึมเข้าสู่รูพรุนเล็กๆ บนเคลือบฟัน และเมื่อทำปฏิกิริยากับออกซิเจน จะเกิดเป็นคราบสีน้ำตาลหรือเหลืองเข้มที่ฝังแน่นและขจัดออกได้ยากมาก
- อายุที่เพิ่มขึ้นตามธรรมชาติ
- เมื่อเราอายุมากขึ้น เคลือบฟัน ซึ่งเป็นชั้นนอกสุดของฟันจะเริ่มบางลงและสึกกร่อนไปตามกาลเวลา ทำให้ เนื้อฟัน ที่มีสีเหลืองอยู่แล้วปรากฏให้เห็นเด่นชัดขึ้น นี่คือเหตุผลที่ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มักมีฟันที่ดูเหลืองกว่าคนหนุ่มสาว
- ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด
- ยาปฏิชีวนะบางประเภท โดยเฉพาะ กลุ่มเตตราไซคลีน (Tetracycline) และ ด็อกซีไซคลีน (Doxycycline) หากได้รับยาในช่วงที่ฟันกำลังพัฒนา (เช่น ในเด็กเล็ก หรือหญิงตั้งครรภ์) อาจทำให้เกิดคราบสีเทา น้ำตาล หรือเหลืองอมเทาฝังแน่นอยู่ในเนื้อฟัน ซึ่งคราบเหล่านี้จะแก้ไขได้ยากด้วยการฟอกสีฟันปกติ
- ยาชนิดอื่นๆ เช่น ยาแก้แพ้ (Antihistamines), ยารักษาความดันโลหิตสูง (Antihypertensives), หรือยาต้านโรคจิต (Antipsychotics) ก็อาจส่งผลต่อสีฟันได้เช่นกัน
- ฟันที่ตายแล้วหรือเคยประสบอุบัติเหตุ
- ฟันที่ได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง เช่น การกระแทก หรือฟันที่ผ่านการรักษารากฟันและเส้นประสาทภายในตาย อาจทำให้เลือดและเนื้อเยื่อภายในสลายตัว ซึ่งจะทำให้ฟันซี่นั้นๆ มีสีคล้ำลงเป็นสีเทาหรือน้ำตาลเข้มอย่างเห็นได้ชัด
- พันธุกรรมและปัจจัยภายใน
- บางคนอาจมีสีฟันที่ไม่ขาวมากโดยธรรมชาติ ซึ่งเป็นผลมาจากพันธุกรรมที่กำหนดความหนาและความโปร่งใสของเคลือบฟัน รวมถึงสีของเนื้อฟันตั้งแต่เกิด นอกจากนี้ ยังมีภาวะทางพันธุกรรมบางอย่างที่ส่งผลต่อการสร้างเคลือบฟันหรือเนื้อฟัน เช่น Amelogenesis Imperfecta (ความผิดปกติของเคลือบฟัน) หรือ Dentinogenesis Imperfecta (ความผิดปกติของเนื้อฟัน) ทำให้ฟันมีสีที่ผิดปกติไปจากคนทั่วไป
2.ฟอกสีฟันกับการทำความสะอาดฟัน: สองสิ่งที่แตกต่าง แต่สำคัญทั้งคู่
หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าการฟอกสีฟันเป็นการทำความสะอาดฟันให้ขาวขึ้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว การฟอกสีฟัน (Teeth Whitening) และ การทำความสะอาดฟัน (Dental Cleaning) เป็นกระบวนการที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ทั้งคู่ล้วนมีความสำคัญต่อสุขภาพและความสวยงามของรอยยิ้มของคุณอย่างแยกไม่ออก
ฟอกสีฟัน: ปรับสีฟันให้สว่างขึ้นจากภายใน
การฟอกสีฟัน คือกระบวนการทางเคมีที่มุ่งเน้นไปที่การ เปลี่ยนสีของเนื้อฟัน ให้ดูขาวและสว่างขึ้น โดยจะใช้น้ำยาฟอกสีฟันที่มีส่วนประกอบของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (Hydrogen Peroxide) หรือคาร์บาไมด์เปอร์ออกไซด์ (Carbamide Peroxide) ซึ่งมีคุณสมบัติในการปล่อยออกซิเจน เมื่อน้ำยาซึมเข้าไปในชั้นเคลือบฟันและเนื้อฟัน ออกซิเจนที่ถูกปล่อยออกมาจะทำปฏิกิริยากับ โมเลกุลของเม็ดสี (Chromogens) ที่สะสมอยู่ภายในฟัน
ทำให้เม็ดสีเหล่านี้แตกตัวเล็กลงและไม่สามารถสะท้อนแสงได้เหมือนเดิม ผลลัพธ์ที่ได้คือฟันจะดูขาวขึ้น สว่างขึ้น และรอยยิ้มของคุณจะดูสดใสกว่าเดิม
สิ่งสำคัญที่ต้องรู้เกี่ยวกับฟอกสีฟัน:
- เป้าหมาย: เน้นการปรับสีฟันจากเฉดสีที่เหลืองหรือคล้ำให้สว่างขึ้น
- การทำงาน: เป็นปฏิกิริยาเคมีที่สลายเม็ดสีภายในเนื้อฟัน
- ผลลัพธ์: ทำให้ฟันขาวขึ้นได้หลายระดับ แต่ไม่สามารถเปลี่ยนสีวัสดุอุดฟัน ครอบฟัน หรือวีเนียร์ได้
ทำความสะอาดฟัน: ขจัดคราบและสิ่งสกปรกบนผิวฟัน
ในทางกลับกัน การทำความสะอาดฟัน หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า การขูดหินปูน (Scaling) เป็นขั้นตอนพื้นฐานและจำเป็นในการดูแลสุขภาพช่องปาก เป้าหมายหลักคือการ กำจัดคราบจุลินทรีย์ (Plaque) และ หินปูน (Calculus/Tartar) รวมถึงคราบสีต่างๆ ที่เกาะอยู่บนพื้นผิวฟันและซอกฟัน
คราบจุลินทรีย์ คือฟิล์มเหนียวๆ ที่เกิดจากแบคทีเรียและเศษอาหาร ซึ่งหากไม่ได้รับการทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอจะสะสมและแข็งตัวกลายเป็น หินปูน หินปูนเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำให้ฟันดูไม่สวยงาม แต่ยังเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียที่สามารถนำไปสู่ปัญหาเหงือกอักเสบ ฟันผุ และกลิ่นปากได้
ทันตแพทย์จะใช้เครื่องมือพิเศษ ในการขจัดคราบหินปูนและคราบสกปรกเหล่านี้ออกจากผิวฟันและบริเวณใต้เหงือก จากนั้นจะทำการขัดฟันให้เรียบ เพื่อลดการเกาะตัวของคราบในอนาคต
สิ่งสำคัญที่ต้องรู้เกี่ยวกับการทำความสะอาดฟัน:
- เป้าหมาย: กำจัดคราบจุลินทรีย์ หินปูน และคราบสีภายนอกที่เกาะอยู่บนผิวฟัน
- การทำงาน: เป็นการทำความสะอาดทางกายภาพเพื่อขจัดสิ่งสกปรก
- ผลลัพธ์: ทำให้ฟันสะอาด ลดความเสี่ยงฟันผุ เหงือกอักเสบ และช่วยให้ฟันดูขาวขึ้นเล็กน้อยจากการขจัดคราบภายนอก
ทำไมต้องทำความสะอาดฟันก่อนฟอกสีฟันเสมอ?
นี่คือประเด็นสำคัญที่ทันตแพทย์ทุกคนจะเน้นย้ำ: คุณควรได้รับการตรวจสุขภาพช่องปากและขูดหินปูนให้เรียบร้อยก่อนเข้ารับการฟอกสีฟันเสมอ มีเหตุผลหลายประการดังนี้:
- ประสิทธิภาพของการฟอกสีฟัน: หากมีคราบหินปูนหรือคราบสกปรกเกาะอยู่บนผิวฟัน น้ำยาฟอกสีฟันจะไม่สามารถซึมเข้าสู่เนื้อฟันได้อย่างทั่วถึงและเต็มที่ ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ไม่สม่ำเสมอหรือไม่ขาวเท่าที่ควร
- ป้องกันอาการเสียวฟันและระคายเคือง: หากมีฟันผุ เหงือกอักเสบ หรือมีหินปูนปริมาณมาก การฟอกสีฟันอาจทำให้อาการเหล่านี้รุนแรงขึ้น เกิดอาการเสียวฟันอย่างรุนแรง หรือระคายเคืองเหงือกได้
- ประเมินสุขภาพฟันที่แท้จริง: การขจัดคราบสกปรกออกก่อนจะช่วยให้ทันตแพทย์สามารถประเมินสีฟันตามธรรมชาติของคุณได้อย่างถูกต้อง รวมถึงตรวจหาปัญหาอื่นๆ ในช่องปาก เช่น ฟันผุ รอยร้าว หรือโรคเหงือก ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาก่อนฟอกสีฟัน
การฟอกสีฟันเป็นการยกระดับความขาวของฟันจากภายใน ในขณะที่การทำความสะอาดฟันเป็นการรักษาสุขภาพช่องปากขั้นพื้นฐานที่ช่วยขจัดสิ่งสกปรกภายนอก การทำความสะอาดฟันจึงเป็นบันไดขั้นแรกที่สำคัญ เพื่อให้การฟอกสีฟันของคุณได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ปลอดภัย และคงอยู่ได้นานที่สุด
3. ฟอกสีฟันมีกี่แบบ? เจาะลึก 2 ประเภทหลักยอดนิยม เพื่อรอยยิ้มขาวกระจ่างใส
เมื่อพูดถึงการฟอกสีฟันเพื่อปรับปรุงรอยยิ้มให้ขาวสดใสขึ้น หลายคนอาจสงสัยว่ามีวิธีไหนบ้าง แล้วแต่ละวิธีแตกต่างกันอย่างไร โดยหลักๆ แล้ว การฟอกสีฟันที่ได้รับความนิยมและปลอดภัยภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ การฟอกสีฟันที่คลินิก และ การฟอกสีฟันที่บ้าน ซึ่งแต่ละแบบก็มีข้อดี ข้อเสีย และความเหมาะสมที่ต่างกันไป มาดูกันว่าคุณเหมาะกับแบบไหนที่สุด
1. ฟอกสีฟันที่คลินิก (In-office Bleaching)
การฟอกสีฟันประเภทนี้เป็นการทำหัตถการโดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่คลินิกทันตกรรม เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างสูงสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์อย่างรวดเร็วและชัดเจน
ขั้นตอนการฟอกสีฟันที่คลินิก:
- ตรวจสภาพช่องปาก: ทันตแพทย์จะตรวจฟันและเหงือกอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีฟันผุ เหงือกอักเสบ หรือปัญหาอื่น ๆ ที่อาจเป็นข้อจำกัดในการฟอกสีฟัน (หากพบปัญหา ต้องรักษาก่อน)
- ทำความสะอาดฟัน: ขูดหินปูนและขัดฟันให้เรียบร้อย เพื่อให้น้ำยาฟอกสีฟันซึมเข้าสู่เนื้อฟันได้อย่างเต็มที่
- ป้องกันเหงือกและเนื้อเยื่ออ่อน: ทันตแพทย์จะทาเจลป้องกันเหงือก หรือใช้วัสดุกั้นเหงือกและริมฝีปาก เพื่อไม่ให้น้ำยาฟอกสีฟันสัมผัสกับเนื้อเยื่ออ่อนในช่องปาก
- ทาน้ำยาฟอกสีฟัน: ใช้น้ำยาฟอกสีฟันที่มีความเข้มข้นสูง (เช่น ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 25-40%) ทาลงบนผิวฟันอย่างระมัดระวัง
- กระตุ้นด้วยแสง (ในบางกรณี): คลินิกหลายแห่งอาจใช้แสง LED, แสงเลเซอร์ หรือแสงพลาสม่า เข้ามาช่วยกระตุ้นให้น้ำยาฟอกสีฟันทำงานได้ดียิ่งขึ้นและเร็วขึ้น (บางระบบอาจไม่ใช้แสง)
- ล้างออกและประเมินผล: ทันตแพทย์จะดูดน้ำยาออกและล้างทำความสะอาดฟัน จากนั้นจึงประเมินผลลัพธ์สีฟันที่เปลี่ยนแปลงไป
ข้อดีของการฟอกสีฟันที่คลินิก:
- เห็นผลรวดเร็ว: สามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจนตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ และฟันจะขาวขึ้นในระดับที่น่าพอใจภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียง 1-2 ชั่วโมง
- ควบคุมโดยทันตแพทย์: มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากทันตแพทย์เป็นผู้ควบคุมกระบวนการทั้งหมด สามารถปรับปริมาณน้ำยาและดูแลอาการเสียวฟันที่อาจเกิดขึ้นได้ทันท่วงที
- น้ำยาเข้มข้นสูง: ใช้น้ำยาที่มีความเข้มข้นสูงกว่าชุดฟอกสีฟันที่บ้าน ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าและคงทนกว่า
- ลดอาการเสียวฟัน: คลินิกมักมีวิธีหรือผลิตภัณฑ์เสริมที่ช่วยลดอาการเสียวฟันระหว่างและหลังการฟอก
ข้อเสียของการฟอกสีฟันที่คลินิก:
- ราคาสูงกว่า: มีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าการฟอกสีฟันที่บ้าน
- อาจมีอาการเสียวฟัน: แม้จะได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด แต่อาการเสียวฟันอาจเกิดขึ้นได้ชั่วคราวหลังทำ โดยเฉพาะในผู้ที่มีฟันค่อนข้างไว
2. ฟอกสีฟันที่บ้าน (Home Bleaching)
การฟอกสีฟันที่บ้านเป็นการฟอกสีฟันที่ผู้ป่วยสามารถทำได้ด้วยตนเองที่บ้าน โดยต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำและการดูแลของทันตแพทย์เช่นกัน ไม่ใช่การซื้อชุดฟอกสีฟันสำเร็จรูปจากท้องตลาดทั่วไป
ขั้นตอนการฟอกสีฟันที่บ้าน (ภายใต้การดูแลทันตแพทย์):
- ตรวจสุขภาพฟันและพิมพ์ปาก: ทันตแพทย์จะตรวจสุขภาพช่องปากและพิมพ์ปากของคุณ เพื่อนำไปสร้าง ถาดฟอกสีฟันเฉพาะบุคคล (Custom-fitted Tray) ที่พอดีกับรูปฟันของคุณ
- รับชุดอุปกรณ์และคำแนะนำ: คุณจะได้รับถาดฟอกสีฟัน น้ำยาฟอกสีฟันที่มีความเข้มข้นต่ำกว่า (เช่น คาร์บาไมด์เปอร์ออกไซด์ 10-22%) และคำแนะนำอย่างละเอียดจากทันตแพทย์เกี่ยวกับวิธีการใช้ ปริมาณที่เหมาะสม และระยะเวลาในการใส่
- ฟอกสีฟันด้วยตนเอง: คุณจะต้องใส่น้ำยาลงในถาดฟอกสีฟันแล้วสวมครอบฟันตามคำแนะนำของทันตแพทย์ (มักจะใส่ขณะนอนหลับ หรือตามที่ทันตแพทย์กำหนด) โดยทำเป็นประจำทุกวันเป็นเวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์ จนกว่าจะได้สีฟันที่ต้องการ
- ติดตามผล: ทันตแพทย์จะนัดหมายเพื่อติดตามผลและประเมินความคืบหน้าเป็นระยะๆ
ข้อดีของการฟอกสีฟันที่บ้าน:
- สะดวกสบาย: สามารถทำได้เองที่บ้านตามเวลาที่สะดวก
- ค่าใช้จ่ายน้อยกว่า: โดยทั่วไปแล้วมีราคาถูกกว่าการฟอกสีฟันที่คลินิก
- ควบคุมความขาวได้เอง: คุณสามารถหยุดฟอกสีฟันได้เมื่อได้ระดับความขาวที่พอใจ
- ลดอาการเสียวฟัน: เนื่องจากน้ำยามีความเข้มข้นต่ำกว่า จึงมีโอกาสเกิดอาการเสียวฟันน้อยกว่า หรือมีอาการน้อยกว่า
ข้อเสียของการฟอกสีฟันที่บ้าน:
- ใช้เวลานานกว่า: ต้องใช้เวลาหลายวันถึงหลายสัปดาห์กว่าจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน
- ต้องมีวินัย: ต้องทำอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอตามคำแนะนำของทันตแพทย์
- ผลลัพธ์อาจไม่สม่ำเสมอ: หากถาดฟอกสีฟันไม่พอดี หรือใส่น้ำยาไม่ถูกต้อง อาจทำให้ผลลัพธ์ไม่สม่ำเสมอ
- น้ำยาอาจระคายเคืองเหงือก: หากใส่น้ำยามากเกินไปหรือถาดฟอกสีฟันไม่พอดี น้ำยาอาจล้นออกมาสัมผัสกับเหงือกและทำให้เกิดการระคายเคือง
เลือกแบบไหนดี?
การตัดสินใจว่าจะฟอกสีฟันแบบไหนขึ้นอยู่กับความต้องการและปัจจัยส่วนบุคคลของคุณ:
- ถ้าต้องการผลลัพธ์ด่วน และสะดวกที่จะมาคลินิก: การฟอกสีฟันที่คลินิกเป็นทางเลือกที่เหมาะสม
- ถ้าต้องการความยืดหยุ่นในการทำ สะดวกทำเองที่บ้าน และมีงบประมาณจำกัด: การฟอกสีฟันที่บ้านอาจตอบโจทย์กว่า
- สำหรับบางกรณี: ทันตแพทย์อาจแนะนำให้ทำทั้งสองแบบร่วมกัน คือ เริ่มต้นที่คลินิกเพื่อให้ฟันขาวขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นใช้ชุดฟอกสีฟันที่บ้านเพื่อคงความขาวหรือเพิ่มระดับความขาวในระยะยาว
ไม่ว่าคุณจะเลือกวิธีใด สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องปรึกษาและทำภายใต้การดูแลของทันตแพทย์เท่านั้น เพื่อความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจที่สุดสำหรับรอยยิ้มของคุณ
4.ผลลัพธ์ที่คาดหวังจากการฟอกสีฟัน และข้อจำกัดที่ควรรู้
การฟอกสีฟันเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการปรับปรุงสีฟันให้ขาวกระจ่างใสขึ้น ทำให้หลายคนมีความมั่นใจในรอยยิ้มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การจะเข้าใจถึง ผลลัพธ์ที่คาดหวัง อย่างสมเหตุสมผล และ ข้อจำกัด ของการฟอกสีฟันนั้นเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างรอบคอบและไม่ผิดหวังกับผลลัพธ์ที่ได้
ฟันจะขาวขึ้นได้กี่เฉดสี?
โดยทั่วไปแล้ว คุณสามารถคาดหวังว่า ฟันจะขาวขึ้นได้ประมาณ 2-8 เฉดสี ซึ่งเป็นช่วงที่กว้าง เพราะผลลัพธ์ที่ได้นั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ดังนี้:
- สีฟันเดิมก่อนฟอก: ผู้ที่มีฟันเหลืองอ่อนๆ มักจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนและขาวขึ้นได้มากกว่าผู้ที่มีฟันเหลืองเข้ม หรือมีคราบฝังแน่นมานาน
- ประเภทของคราบสีฟัน: คราบเหลืองที่เกิดจากอาหาร เครื่องดื่ม หรืออายุ มักจะตอบสนองต่อการฟอกสีฟันได้ดีกว่าคราบสีเทาหรือสีน้ำตาลเข้มที่เกิดจากยา (เช่น Tetracycline Stain) หรือฟันที่ตายแล้ว
- ความเข้มข้นของน้ำยาฟอกสีฟัน: การฟอกสีฟันที่คลินิกที่ใช้น้ำยาความเข้มข้นสูงมักให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วและขาวขึ้นในระดับที่มากกว่าการฟอกสีฟันที่บ้าน
- ระยะเวลาในการฟอก: ยิ่งใช้น้ำยาฟอกสีฟันตามคำแนะนำของทันตแพทย์อย่างต่อเนื่อง ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะยิ่งดีขึ้นและสว่างขึ้น
ทันตแพทย์มักจะใช้ เฉดสีฟันมาตรฐาน (Shade Guide) ในการประเมินสีฟันของคุณก่อนและหลังการฟอก เพื่อให้คุณเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน
ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานแค่ไหน?
ความขาวของฟันที่ได้จากการฟอกสีฟันนั้น ไม่ถาวร โดยทั่วไปผลลัพธ์จะคงอยู่ได้ประมาณ 6 เดือนถึง 2 ปี ขึ้นอยู่กับ:
- พฤติกรรมการบริโภค: ผู้ที่ดื่มชา กาแฟ ไวน์แดง หรือสูบบุหรี่เป็นประจำ ฟันมีแนวโน้มที่จะกลับมาคล้ำเร็วขึ้น
- สุขอนามัยช่องปาก: การแปรงฟันอย่างถูกวิธี ใช้ไหมขัดฟัน และพบทันตแพทย์เพื่อขูดหินปูนเป็นประจำ จะช่วยรักษาความขาวของฟันไว้ได้นานขึ้น
- การดูแลหลังฟอกสีฟัน: การหลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่มีสีเข้มในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรกหลังฟอกสีฟันมีความสำคัญอย่างยิ่ง
หากต้องการคงความขาวไว้ ทันตแพทย์อาจแนะนำให้ฟอกสีฟันซ้ำเป็นครั้งคราว หรือใช้ชุดฟอกสีฟันที่บ้านเพื่อรักษาระดับความขาวเป็นประจำ
ข้อจำกัดที่สำคัญของการฟอกสีฟันที่คุณควรรู้
เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจว่าการฟอกสีฟันมีข้อจำกัดบางประการ และไม่ได้เหมาะกับทุกกรณี:
- ไม่สามารถเปลี่ยนสีวัสดุอุดฟัน ครอบฟัน หรือวีเนียร์ได้: นี่คือข้อจำกัดที่สำคัญที่สุด! หากคุณเคยมีฟันผุและได้รับการอุดฟันด้วยวัสดุสีเหมือนฟัน มีการทำครอบฟัน สะพานฟัน หรือวีเนียร์ (เคลือบฟันเทียม) วัสดุเหล่านี้จะไม่ตอบสนองต่อน้ำยาฟอกสีฟันและจะไม่เปลี่ยนสีตามฟันธรรมชาติของคุณ
- สิ่งที่อาจเกิดขึ้น: หลังจากฟอกสีฟันแล้ว ฟันธรรมชาติของคุณจะขาวขึ้น แต่ครอบฟันหรือวัสดุอุดฟันเดิมจะยังคงสีเดิม ทำให้เกิดความแตกต่างของสีฟันที่ไม่สวยงาม
- แนวทางแก้ไข: หากคุณมีวัสดุเหล่านี้ ทันตแพทย์มักจะแนะนำให้คุณ เปลี่ยนวัสดุเหล่านั้นใหม่ หลังจากฟอกสีฟันเสร็จสิ้นและได้สีฟันที่ต้องการแล้ว เพื่อให้สีฟันโดยรวมมีความสม่ำเสมอและสวยงาม
- ไม่สามารถฟอกสีฟันที่ตายแล้ว/เปลี่ยนสีจากภายในได้ทุกกรณี: ฟันที่ตายแล้วจากการบาดเจ็บหรือได้รับการรักษารากฟันมักจะมีสีคล้ำกว่าฟันซี่อื่น การฟอกสีฟันภายนอกอาจไม่ได้ผลดีนัก ในกรณีเหล่านี้ ทันตแพทย์อาจแนะนำ การฟอกสีฟันจากภายใน (Internal Bleaching) ซึ่งเป็นการใส่น้ำยาฟอกสีฟันเข้าไปในโพรงฟันโดยตรง หรืออาจพิจารณาทางเลือกอื่น เช่น การทำวีเนียร์หรือครอบฟัน
- ฟันที่มีคราบ Tetracycline Stain: คราบสีเทาหรือน้ำตาลเข้มที่เกิดจากยา Tetracycline ในช่วงวัยเด็ก เป็นคราบที่ฝังลึกในเนื้อฟัน การฟอกสีฟันอาจช่วยให้ขาวขึ้นได้เพียงเล็กน้อยหรือไม่เห็นผลเลยในบางกรณี ทันตแพทย์อาจแนะนำทางเลือกอื่นที่เหมาะสมกว่า เช่น การทำวีเนียร์
- อาการเสียวฟันชั่วคราว: อาการเสียวฟันเป็นผลข้างเคียงที่พบบ่อยหลังการฟอกสีฟัน โดยเฉพาะการฟอกที่คลินิก ซึ่งมักจะหายไปเองภายในไม่กี่ชั่วโมงหรือไม่กี่วัน
การฟอกสีฟันเป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมในการยกระดับความมั่นใจให้กับรอยยิ้มของคุณ แต่การมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่คาดหวังและข้อจำกัดต่างๆ จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด และพูดคุยกับทันตแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ เพื่อให้ได้รอยยิ้มที่ขาวสวยอย่างปลอดภัยและยั่งยืน
5.การเตรียมตัวก่อนฟอกสีฟัน: ขั้นตอนสำคัญเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและความปลอดภัยของคุณ
การฟอกสีฟันไม่ใช่แค่การทาเจลแล้วฟันก็ขาวขึ้นทันที แต่เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยการเตรียมความพร้อมที่ดี เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด และที่สำคัญที่สุดคือ ความปลอดภัยของช่องปากของคุณ การเตรียมตัวอย่างเหมาะสมก่อนการฟอกสีฟันจึงเป็นขั้นตอนที่คุณไม่ควรมองข้าม และนี่คือสิ่งที่คุณควรรู้
ทำไมการเตรียมตัวก่อนฟอกสีฟันจึงสำคัญ?
ก่อนที่คุณจะเข้ารับการฟอกสีฟัน ไม่ว่าจะเป็นที่คลินิกหรือรับชุดกลับไปทำที่บ้าน ทันตแพทย์จะให้ความสำคัญกับการตรวจสุขภาพช่องปากของคุณอย่างละเอียด นั่นเป็นเพราะ:
- ป้องกันอาการเสียวฟันที่รุนแรง: หากคุณมี ฟันผุ ที่ยังไม่ได้รับการอุด หรือมี ฟันร้าวเล็กๆ น้ำยาฟอกสีฟันอาจซึมเข้าไปถึงโพรงประสาทฟันได้ง่าย ทำให้เกิดอาการเสียวฟันที่รุนแรงและยาวนานกว่าปกติ การอุดฟันหรือรักษาฟันที่เสียหายก่อนจะช่วยลดความเสี่ยงนี้ได้
- ลดการระคายเคืองเหงือก: เหงือกอักเสบ หรือ โรคปริทันต์ (เหงือกบวมแดง มีเลือดออก) เป็นภาวะที่เหงือกมีความอ่อนแอและระคายเคืองง่าย หากน้ำยาฟอกสีฟันสัมผัสกับเหงือกที่มีการอักเสบอยู่แล้ว อาจทำให้เกิดอาการแสบร้อน บวมแดง หรือเป็นแผลได้ การรักษาเหงือกให้แข็งแรงก่อนจึงเป็นสิ่งจำเป็น
- เพื่อให้ผลลัพธ์ขาวสม่ำเสมอ: หากมี คราบหินปูน หรือ คราบจุลินทรีย์ เกาะอยู่บนผิวฟัน น้ำยาฟอกสีฟันจะไม่สามารถสัมผัสกับผิวฟันได้อย่างทั่วถึงและสม่ำเสมอ ทำให้บริเวณที่มีคราบเหล่านั้นไม่ขาวเท่าที่ควร หรือเกิดสีฟันที่ไม่สม่ำเสมอกันหลังการฟอก
- ตรวจสอบข้อจำกัดอื่นๆ: ทันตแพทย์จะสามารถประเมินได้ว่าคุณมีเงื่อนไขใดๆ ที่อาจเป็นข้อห้ามในการฟอกสีฟันหรือไม่ เช่น มีอาการแพ้น้ำยาฟอกสีฟัน, สตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร, หรือเป็นผู้ป่วยโรคทางระบบบางอย่าง
ขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนฟอกสีฟันที่คุณจะต้องเจอ
โดยปกติแล้ว เมื่อคุณตัดสินใจจะฟอกสีฟันและนัดหมายกับทันตแพทย์ การเตรียมตัวจะมีขั้นตอนดังนี้:
- ปรึกษาและตรวจสุขภาพช่องปากอย่างละเอียด:
- ประเมินสีฟันเดิม: ทันตแพทย์จะใช้เฉดสีฟันมาตรฐานมาเปรียบเทียบกับสีฟันปัจจุบันของคุณ เพื่อให้เห็นภาพผลลัพธ์ที่คาดหวัง และบันทึกข้อมูลไว้เป็นหลักฐาน
- ตรวจหาฟันผุ: ตรวจสอบทุกซี่ฟันว่ามีรอยผุเล็กน้อยหรือรอยผุขนาดใหญ่หรือไม่ หากพบจะแนะนำให้ทำการอุดฟันให้เรียบร้อยก่อน
- ตรวจสุขภาพเหงือก: ประเมินว่ามีอาการเหงือกอักเสบ เหงือกบวมแดง หรือมีเลือดออกง่ายหรือไม่ หากพบปัญหา ทันตแพทย์จะแนะนำให้รักษาก่อนเพื่อลดความเสี่ยงจากการระคายเคือง
- ตรวจหาวัสดุอุดฟัน ครอบฟัน หรือวีเนียร์: ทันตแพทย์จะตรวจสอบว่าคุณมีฟันซี่ไหนที่มีวัสดุเหล่านี้อยู่บ้าง เนื่องจากวัสดุเหล่านี้จะไม่เปลี่ยนสีจากการฟอกฟันธรรมชาติ และอาจต้องมีการวางแผนเปลี่ยนวัสดุเหล่านั้นในภายหลังเพื่อให้สีฟันสม่ำเสมอ
- สอบถามประวัติสุขภาพ: สอบถามเกี่ยวกับโรคประจำตัว ยาที่กำลังรับประทาน หรือประวัติการแพ้ต่างๆ เพื่อประเมินความปลอดภัย
- ขูดหินปูนและขัดฟัน:
- นี่คือขั้นตอนที่สำคัญอย่างยิ่ง การขจัดคราบหินปูนที่แข็งตัวและคราบสกปรกต่างๆ ที่เกาะบนผิวฟันออกให้หมด จะทำให้น้ำยาฟอกสีฟันสามารถเข้าถึงเนื้อฟันได้อย่างเต็มที่และสม่ำเสมอ ส่งผลให้ฟันขาวขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงของการเกิดสีฟันที่ไม่สม่ำเสมอหลังการฟอก
- รักษาปัญหาช่องปากที่พบ (หากมี):
- หากการตรวจพบปัญหา เช่น ฟันผุที่ต้องอุด เหงือกอักเสบที่ต้องรักษา หรือฟันร้าวเล็กน้อย ทันตแพทย์จะแนะนำให้ จัดการปัญหาสุขภาพช่องปากเหล่านี้ให้เรียบร้อยก่อน ที่จะเริ่มกระบวนการฟอกสีฟัน นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนและความไม่สบายตัวที่อาจเกิดขึ้น
การเตรียมตัวก่อนฟอกสีฟันอาจฟังดูมีหลายขั้นตอน แต่เชื่อเถอะว่าทุกขั้นตอนล้วนมีความสำคัญและเป็นประโยชน์ต่อคุณอย่างมาก การลงทุนในเวลาและค่าใช้จ่ายเล็กน้อยเพื่อเตรียมความพร้อม จะช่วยให้คุณได้รับรอยยิ้มที่ขาวสวยอย่างปลอดภัย และมั่นใจได้ว่าผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นไปตามที่คุณคาดหวัง
6.เจาะลึกขั้นตอนการฟอกสีฟันที่คลินิก: เปลี่ยนฟันเหลืองให้ขาวใสใน 1-2 ชั่วโมง
การฟอกสีฟันที่คลินิก (In-office Bleaching) เป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการฟันขาวสดใสอย่างรวดเร็วและปลอดภัยภายใต้การดูแลของทันตแพทย์ โดยทั่วไปกระบวนการทั้งหมดจะใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง ซึ่งถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับรอยยิ้มที่มั่นใจของคุณ มาดูกันว่าขั้นตอนการฟอกสีฟันที่คลินิกนั้นมีอะไรบ้าง
ทำไมต้องฟอกสีฟันที่คลินิก?
การฟอกสีฟันที่คลินิกแตกต่างจากการฟอกสีฟันที่บ้านตรงที่ทันตแพทย์จะใช้น้ำยาฟอกสีฟันที่มีความเข้มข้นสูงกว่ามาก จึงสามารถเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนได้ในระยะเวลาอันสั้น นอกจากนี้ยังมีการดูแลและควบคุมกระบวนการอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดและลดผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
ขั้นตอนการฟอกสีฟันที่คลินิกโดยละเอียด:
เมื่อคุณมาถึงคลินิกเพื่อเข้ารับการฟอกสีฟัน ทันตแพทย์และผู้ช่วยจะดูแลคุณไปทีละขั้นตอนดังนี้:
1.การเตรียมช่องปากและประเมินสีฟันเบื้องต้น (Pre-treatment Preparation and Shade Assessment)
- ตรวจสุขภาพช่องปากซ้ำ: แม้จะมีการตรวจเบื้องต้นไปแล้ว ทันตแพทย์จะตรวจสอบอีกครั้งว่าไม่มีปัญหาฟันผุ เหงือกอักเสบ หรือรอยโรคอื่น ๆ ที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการฟอกสีฟันในวันนี้
- ทำความสะอาดฟัน: อาจมีการทำความสะอาดผิวฟันเพิ่มเติม หากยังมีคราบจุลินทรีย์หรือคราบสกปรกหลงเหลืออยู่ เพื่อให้น้ำยาฟอกสีฟันสามารถเข้าถึงผิวฟันได้อย่างเต็มที่
- ประเมินสีฟันเดิม: ทันตแพทย์จะใช้ เฉดสีฟันมาตรฐาน (Shade Guide) มาทาบกับสีฟันปัจจุบันของคุณ เพื่อบันทึกสีเริ่มต้น และเป็นเกณฑ์ในการเปรียบเทียบผลลัพธ์หลังฟอกสีฟัน
2.การป้องกันเหงือกและเนื้อเยื่ออ่อนในช่องปาก (Gum and Soft Tissue Isolation)
- นี่คือขั้นตอนสำคัญเพื่อความปลอดภัยของคุณ! เนื่องจากน้ำยาฟอกสีฟันที่ใช้ในคลินิกมีความเข้มข้นสูง หากสัมผัสกับเหงือกหรือเนื้อเยื่ออ่อนในช่องปากโดยตรง อาจทำให้เกิดอาการระคายเคือง แสบร้อน หรือเป็นแผลได้
- วัสดุกั้นเหงือก (Gingival Barrier/Dam): ทันตแพทย์จะทาน้ำยาคล้ายเจลที่เป็นสีฟ้าหรือสีชมพูลงบนเหงือกบริเวณรอบๆ ฟันที่จะทำการฟอก จากนั้นจะฉายแสงเพื่อให้น้ำยาเจลแข็งตัวและกลายเป็นกำแพงป้องกันเหงือก
- อุปกรณ์กั้นช่องปาก (Retractor): อาจมีการใช้อุปกรณ์คล้ายพลาสติกขนาดเล็กสำหรับกั้นริมฝีปากและกระพุ้งแก้ม เพื่อให้สามารถเปิดช่องปากได้กว้างขึ้นและป้องกันน้ำยาฟอกสีฟันสัมผัสกับเนื้อเยื่อเหล่านั้น
3.ทาน้ำยาฟอกสีฟันลงบนผิวฟัน (Application of Whitening Gel)
- เมื่อช่องปากได้รับการป้องกันอย่างสมบูรณ์แล้ว ทันตแพทย์จะเริ่มทาน้ำยาฟอกสีฟันที่มีส่วนประกอบของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ในความเข้มข้นที่เหมาะสม (อาจสูงถึง 25-40%) ลงบนผิวฟันแต่ละซี่อย่างระมัดระวัง
- โดยทั่วไปจะเน้นทาที่บริเวณฟันหน้าบนและล่าง ซึ่งเป็นส่วนที่มองเห็นได้ชัดเจนขณะยิ้ม
- น้ำยาจะถูกทาทิ้งไว้ตามระยะเวลาที่กำหนด โดยปกติคือประมาณ 15-20 นาทีในแต่ละรอบ
4.ใช้แสง LED หรือเลเซอร์กระตุ้นน้ำยา (Light Activation - Optional for Some Systems)
- สำหรับเทคนิคการฟอกสีฟันบางระบบ ทันตแพทย์จะใช้แสงชนิดพิเศษ เช่น แสง LED สีฟ้า หรือ เลเซอร์ ฉายลงบนฟันที่ทาน้ำยาไว้
- วัตถุประสงค์: แสงจะช่วยกระตุ้นให้น้ำยาฟอกสีฟันทำงานได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมีที่สลายเม็ดสีในฟันได้ดีขึ้นและรวดเร็วขึ้น
- ขั้นตอนนี้จะทำซ้ำประมาณ 2-4 รอบ ขึ้นอยู่กับระบบที่ใช้ และระดับความขาวที่ต้องการ
5.ดูดน้ำยาออกและทำความสะอาดฟัน (Gel Removal and Rinse)
- เมื่อครบกำหนดเวลาในแต่ละรอบ หรือเมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการ ทันตแพทย์จะใช้เครื่องมือดูดน้ำยาฟอกสีฟันออกให้หมดอย่างระมัดระวัง
- จากนั้นจะแกะวัสดุกั้นเหงือกออก และให้คุณบ้วนปากด้วยน้ำสะอาดหลายๆ ครั้ง เพื่อขจัดคราบน้ำยาที่อาจหลงเหลืออยู่
6.ประเมินผลลัพธ์สุดท้ายและให้คำแนะนำ (Final Assessment and Post-treatment Instructions)
- ทันตแพทย์จะใช้เฉดสีฟันมาตรฐานมาเปรียบเทียบกับสีฟันของคุณอีกครั้ง เพื่อให้คุณเห็นความแตกต่างและความขาวที่เพิ่มขึ้น
- คุณจะได้รับคำแนะนำอย่างละเอียดเกี่ยวกับการดูแลหลังการฟอกสีฟัน เช่น อาหารและเครื่องดื่มที่ควรหลีกเลี่ยงในช่วงแรก (โดยเฉพาะในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรกที่ฟันยังเปิดรูพรุนและไวต่อการดูดซับสี) วิธีลดอาการเสียวฟันที่อาจเกิดขึ้น และการรักษาสุขอนามัยช่องปากที่ดีเพื่อคงความขาวให้ยาวนานที่สุด
การฟอกสีฟันที่คลินิกเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับรอยยิ้มที่ขาวใสขึ้นอย่างรวดเร็วและปลอดภัย ด้วยขั้นตอนที่ทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญดูแลอย่างใกล้ชิด คุณจึงมั่นใจได้ว่าจะได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุดภายใต้สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
7.ฟอกสีฟันแล้วเสียวฟัน? ทำความเข้าใจอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นและวิธีรับมือ
การฟอกสีฟันเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการทำให้ฟันขาวขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เช่นเดียวกับการทำหัตถการทางการแพทย์อื่นๆ อาการข้างเคียง (Side Effects) เป็นสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ แม้จะไม่ได้รุนแรงและมักเกิดขึ้นชั่วคราว การทำความเข้าใจอาการเหล่านี้ล่วงหน้าจะช่วยให้คุณเตรียมพร้อมและรับมือได้อย่างสบายใจ
อาการข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุด: อาการเสียวฟัน
อาการที่ผู้เข้ารับการฟอกสีฟันมักจะพบเจอมากที่สุดคือ อาการเสียวฟัน (Tooth Sensitivity) โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการฟอกสีฟันที่คลินิกที่ใช้น้ำยาความเข้มข้นสูง อาการนี้เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ:
- การทำงานของน้ำยาฟอกสีฟัน: น้ำยาฟอกสีฟันจะซึมผ่านรูพรุนเล็กๆ บนเคลือบฟัน เข้าไปในชั้นเนื้อฟันและไปกระตุ้นเส้นประสาทที่อยู่ในโพรงฟัน ทำให้เกิดความรู้สึกเสียวจี๊ดขึ้นมา
- ฟันที่มีความไวอยู่แล้ว: ผู้ที่มีอาการเสียวฟันเป็นประจำอยู่แล้ว เช่น มีคอฟันสึก ฟันร้าว หรือเคลือบฟันบาง อาจมีอาการเสียวฟันรุนแรงขึ้นหลังการฟอกสีฟัน
- การอักเสบของโพรงประสาทฟันชั่วคราว: ในบางราย น้ำยาฟอกสีฟันอาจทำให้เกิดการอักเสบเล็กน้อยของโพรงประสาทฟัน ซึ่งเป็นกลไกชั่วคราวที่ร่างกายตอบสนอง
ลักษณะของอาการเสียวฟัน: อาการเสียวฟันหลังฟอกสีฟันมักจะเป็นแบบ จี๊ดๆ แป๊บๆ และมักจะเกิดขึ้นเมื่อฟันสัมผัสกับสิ่งกระตุ้น เช่น อากาศเย็น น้ำเย็น หรืออาหารรสจัด บางรายอาจรู้สึกเสียวตลอดเวลาในระยะแรก อาการเหล่านี้มักเกิดขึ้น ชั่วคราว และจะค่อยๆ ลดลงจนหายไปเองภายในไม่กี่ชั่วโมง หรือไม่กี่วันหลังจากการฟอกสีฟัน
การดูแลและบรรเทาอาการเสียวฟัน: ทันตแพทย์จะดูแลคุณอย่างใกล้ชิดระหว่างและหลังการฟอกสีฟัน และอาจแนะนำวิธีบรรเทาอาการดังนี้:
- ใช้ยาสีฟันลดอาการเสียวฟัน: มีส่วนผสมที่ช่วยลดการนำกระแสประสาท หรือปิดท่อเนื้อฟันที่เปิดอยู่
- หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่กระตุ้นอาการ: เช่น อาหารร้อนจัด เย็นจัด เปรี้ยวจัด หรือหวานจัด
- ใช้ฟลูออไรด์เข้มข้น: ทันตแพทย์อาจพิจารณาการทาฟลูออไรด์ชนิดเข้มข้นหลังการฟอกสีฟัน เพื่อช่วยลดอาการเสียวฟันและเสริมสร้างเคลือบฟัน
- รับประทานยาแก้ปวด (ถ้าจำเป็น): ในกรณีที่รู้สึกไม่สบายตัวมาก ทันตแพทย์อาจแนะนำให้รับประทานยาแก้ปวดชนิดอ่อนๆ เพื่อบรรเทาอาการ
อาการข้างเคียงอื่นๆ: การระคายเคืองเหงือกและเนื้อเยื่ออ่อน
นอกจากอาการเสียวฟันแล้ว อาการข้างเคียงอีกอย่างที่อาจเกิดขึ้นได้คือ การระคายเคืองเหงือกและเนื้อเยื่ออ่อนในช่องปาก ซึ่งมักเกิดขึ้นเมื่อน้ำยาฟอกสีฟันสัมผัสกับบริเวณเหงือกโดยตรง
- สาเหตุ: แม้ทันตแพทย์จะใช้เจลป้องกันเหงือกหรือวัสดุกั้นอย่างระมัดระวัง แต่ในบางกรณี น้ำยาอาจเล็ดลอดไปสัมผัสกับเหงือกได้เล็กน้อย หรือในกรณีของการฟอกสีฟันที่บ้าน หากถาดฟอกสีฟันไม่พอดี หรือใส่น้ำยามากเกินไปจนล้นออกมา ก็อาจทำให้เหงือกสัมผัสกับน้ำยาได้
- ลักษณะอาการ: เหงือกอาจมีสีขาวซีดชั่วคราว (Blanching) รู้สึกแสบร้อน บวมแดง หรือมีแผลเล็กๆ
- การดูแลและบรรเทาอาการระคายเคืองเหงือก:
- อาการเหล่านี้มักไม่รุนแรงและจะหายไปเองภายในไม่กี่ชั่วโมงหรือ 1-2 วัน
- ทันตแพทย์อาจแนะนำให้บ้วนปากด้วยน้ำเกลือ หรือใช้น้ำยาบ้วนปากสำหรับลดการอักเสบ
- หากอาการไม่ดีขึ้น หรือรุนแรงขึ้น ควรกลับไปพบทันตแพทย์ทันที
สิ่งสำคัญที่ทันตแพทย์จะดูแล
ทันตแพทย์มีบทบาทสำคัญในการดูแลและลดความเสี่ยงของอาการข้างเคียงเหล่านี้:
- การประเมินก่อนทำ: จะมีการประเมินสุขภาพฟันและเหงือกอย่างละเอียด เพื่อหลีกเลี่ยงการฟอกสีฟันในผู้ที่มีความเสี่ยงสูง
- การใช้เทคนิคที่ถูกต้อง: การป้องกันเหงือกและเนื้อเยื่ออ่อนอย่างเหมาะสม การใช้น้ำยาในปริมาณที่พอดี และการควบคุมระยะเวลาในการฟอก
- คำแนะนำหลังทำ: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลตนเองหลังฟอกสีฟันอย่างละเอียด เพื่อลดอาการไม่พึงประสงค์และคงผลลัพธ์ที่ดี
การฟอกสีฟันเป็นกระบวนการที่ปลอดภัยเมื่อทำโดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ การทราบถึงอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจะช่วยให้คุณเตรียมพร้อมทางใจ และสบายใจมากขึ้นหากมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้น อาการส่วนใหญ่เป็นเพียงชั่วคราวและสามารถจัดการได้
8.ดูแลฟันหลังฟอกสีฟัน: เคล็ดลับรักษารอยยิ้มขาวกระจ่างใสให้อยู่กับคุณนานขึ้น
หลังจากที่คุณได้ลงทุนและใช้เวลาไปกับการฟอกสีฟันเพื่อให้ได้รอยยิ้มที่ขาวสดใสอย่างที่ต้องการแล้ว ขั้นตอนที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การดูแลฟันหลังการฟอกสีฟัน การดูแลที่ถูกต้องจะช่วยรักษาระดับความขาวที่ได้มาให้คงอยู่ได้นานที่สุด และป้องกันไม่ให้ฟันกลับมาเหลืองเร็วเกินไป
ทำไมการดูแลหลังฟอกสีฟันจึงสำคัญ?
หลังการฟอกสีฟัน ฟันของคุณจะอยู่ในสภาพที่เรียกว่า "เปิดรูพรุน" หรือมีโอกาสดูดซับสีได้ง่ายกว่าปกติ เนื่องจากน้ำยาฟอกสีฟันได้เข้าไปสลายโมเลกุลเม็ดสี ทำให้โครงสร้างเล็กๆ ของเคลือบฟันมีการเปลี่ยนแปลงชั่วคราว หากไม่ระมัดระวังในช่วงนี้ ฟันของคุณอาจกลับมาเหลืองได้เร็วกว่าที่ควร
ข้อปฏิบัติสำคัญเพื่อคงความขาวของฟันให้ยาวนาน
เพื่อให้ผลลัพธ์การฟอกสีฟันอยู่กับคุณไปได้นานที่สุด ควรปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้อย่างเคร่งครัด:
1.หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่มีสีเข้ม (โดยเฉพาะช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก)
- ช่วงเวลา 24-48 ชั่วโมงแรกหลังฟอกสีฟัน ถือเป็น "ช่วงวิกฤต" ที่ฟันของคุณจะไวต่อการดูดซับสีมากที่สุด ดังนั้น การงดหรือหลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่มีสีเข้มจึงสำคัญอย่างยิ่ง เปรียบเสมือนการทาสีบ้านใหม่ แล้วต้องรอให้สีแห้งสนิทก่อนที่จะนำเฟอร์นิเจอร์ไปวาง
- ตัวอย่างอาหารและเครื่องดื่มที่ควรหลีกเลี่ยง:
- เครื่องดื่ม: ชา (ทุกชนิด), กาแฟ, ไวน์แดง, น้ำอัดลมสีเข้ม (โค้ก, เป๊ปซี่), น้ำผลไม้สีเข้ม (น้ำองุ่น, น้ำเบอร์รี่), เครื่องดื่มชูกำลังสีเข้ม
- อาหาร: แกงกะหรี่, แกงเหลือง, แกงป่า, ซอสมะเขือเทศ, ซอสพริก, ซอสถั่วเหลือง, บัลซามิก, ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่, บลูเบอร์รี่, เชอร์รี่, ช็อกโกแลต, ลูกอม/ขนมที่มีสีผสมอาหารเข้มๆ
- ทางเลือก: หากต้องการดื่มเครื่องดื่ม ให้เลือกดื่มน้ำเปล่า นม หรือเครื่องดื่มใสๆ หากจำเป็นต้องดื่มเครื่องดื่มมีสีจริงๆ ให้ใช้หลอดดูดเพื่อลดการสัมผัสกับผิวฟันโดยตรง และบ้วนปากด้วยน้ำเปล่าตามทันที
2.งดสูบบุหรี่ (อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมงแรก)
- สารนิโคตินและทาร์ในบุหรี่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดคราบเหลืองฝังแน่นบนฟัน การสูบบุหรี่หลังการฟอกสีฟัน โดยเฉพาะในช่วงที่ฟันยังเปิดรูพรุน จะทำให้ฟันกลับมาเหลืองคล้ำอย่างรวดเร็วและเห็นผลชัดเจน ทันตแพทย์จึงแนะนำให้ งดสูบบุหรี่อย่างเด็ดขาด ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก และหากสามารถงดได้นานกว่านั้นก็จะช่วยรักษาสภาพฟันขาวได้ดีกว่ามาก
3.รักษาสุขอนามัยช่องปากที่ดีอย่างสม่ำเสมอ
- นี่คือพื้นฐานสำคัญไม่ว่าคุณจะฟอกสีฟันหรือไม่ก็ตาม การรักษาสุขอนามัยช่องปากที่ดีจะช่วยป้องกันการสะสมของคราบต่างๆ ที่จะทำให้ฟันกลับมาเหลืองได้
- แปรงฟัน: แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง (เช้าและก่อนนอน) ด้วยยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ โดยใช้แปรงสีฟันขนนุ่มและแปรงอย่างถูกวิธี
- ใช้ไหมขัดฟัน: ทำความสะอาดซอกฟันด้วยไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง เพื่อกำจัดเศษอาหารและคราบจุลินทรีย์ที่แปรงเข้าไม่ถึง
- น้ำยาบ้วนปาก: อาจใช้น้ำยาบ้วนปากที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เพื่อช่วยทำความสะอาดและลดแบคทีเรียในช่องปาก
- พบทันตแพทย์เป็นประจำ: ตรวจสุขภาพฟันและขูดหินปูนทุก 6 เดือนถึง 1 ปี เพื่อขจัดคราบสะสมและหินปูนที่แปรงออกไม่หมด ซึ่งจะช่วยรักษาสภาพฟันให้ขาวสะอาดและสุขภาพดี
เคล็ดลับเพิ่มเติมเพื่อคงความขาวให้ยาวนาน:
- ใช้ยาสีฟันสำหรับฟันขาว: หลังผ่านช่วง 48 ชั่วโมงแรกไปแล้ว สามารถเลือกใช้ยาสีฟันที่มีคุณสมบัติช่วยคงความขาว หรือยาสีฟันที่มีอนุภาคช่วยขัดฟันอย่างอ่อนโยน (แต่ควรปรึกษาทันตแพทย์ก่อนใช้)
- ฟอกสีฟันซ้ำ (Touch-up Bleaching): เมื่อเวลาผ่านไป ฟันอาจกลับมาเหลืองขึ้นเล็กน้อย ทันตแพทย์อาจแนะนำให้ฟอกสีฟันซ้ำแบบเร่งด่วนที่คลินิก หรือใช้ชุดฟอกสีฟันที่บ้านเป็นครั้งคราวเพื่อรักษาระดับความขาวไว้
การดูแลหลังฟอกสีฟันไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก แต่ต้องอาศัยวินัยและความสม่ำเสมอ การปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้จะช่วยให้คุณอวดรอยยิ้มขาวกระจ่างใสได้อย่างมั่นใจไปได้นานขึ้น
9.ฟอกสีฟันแล้วขาวนานแค่ไหน? ปัจจัยที่กำหนดความคงทนของรอยยิ้มสดใสของคุณ
การฟอกสีฟันช่วยให้คุณมีรอยยิ้มที่ขาวสดใสขึ้นได้อย่างรวดเร็ว แต่หลายคนอาจสงสัยว่า "ความขาวนี้จะอยู่กับเราไปนานแค่ไหน?" คำตอบคือ ผลลัพธ์ของการฟอกสีฟันนั้นไม่ถาวร โดยทั่วไปแล้ว ความขาวที่ได้จะคงอยู่ได้ประมาณ 6 เดือนถึง 2 ปี อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาที่แน่นอนนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยที่คุณสามารถควบคุมได้ มาดูกันว่าปัจจัยเหล่านั้นมีอะไรบ้าง และจะทำอย่างไรให้รอยยิ้มขาวคงอยู่กับคุณนานที่สุด
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความคงทนของผลลัพธ์การฟอกสีฟัน
ความคงทนของฟันขาวหลังการฟอกสีฟันขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักๆ ดังนี้:
1.พฤติกรรมการบริโภคอาหารและเครื่องดื่ม
- ตัวการสำคัญ: นี่คือปัจจัยที่ส่งผลมากที่สุดต่ออายุความขาวของฟันคุณ อาหารและเครื่องดื่มที่มีเม็ดสีเข้ม เช่น ชา กาแฟ ไวน์แดง น้ำอัดลมสีเข้ม น้ำผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ แกงกะหรี่ ซอสมะเขือเทศ และอื่นๆ จะยังคงทิ้งคราบสีบนผิวฟันและซึมเข้าไปในเนื้อฟันได้อยู่เสมอ
- ผลกระทบ: ยิ่งคุณบริโภคสิ่งเหล่านี้บ่อยเท่าไหร่ ฟันของคุณก็จะมีแนวโน้มกลับมาเหลืองคล้ำเร็วขึ้นเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น อาหารและเครื่องดื่มที่มีความเป็นกรดสูง ก็อาจทำให้เคลือบฟันอ่อนแอลงและง่ายต่อการดูดซับเม็ดสีได้อีกด้วย
2.การสูบบุหรี่
- ตัวเร่งความเหลือง: สารนิโคตินและทาร์ในบุหรี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ฟันเหลืองและเกิดคราบฝังแน่นอย่างรุนแรงและรวดเร็ว การสูบบุหรี่เป็นประจำจะทำให้ผลลัพธ์การฟอกสีฟันอยู่ได้ไม่นาน และฟันจะกลับมาเหลืองเร็วกว่าคนที่ไม่สูบอย่างเห็นได้ชัด
3.สุขอนามัยช่องปากและการดูแลประจำวัน
- แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟัน: การแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และการใช้ไหมขัดฟันอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อกำจัดคราบจุลินทรีย์และเศษอาหารที่อาจก่อตัวเป็นคราบสีบนฟัน
- ยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปาก: การเลือกใช้ยาสีฟันที่มีคุณสมบัติช่วยคงความขาว (Whitening Toothpaste) หรือยาสีฟันลดการก่อคราบ ก็สามารถช่วยชะลอการกลับมาของสีฟันที่คล้ำลงได้
4.ชนิดและระดับความเข้มข้นของน้ำยาฟอกสีฟันที่ใช้
- ฟอกที่คลินิก vs. ที่บ้าน: โดยทั่วไปแล้ว การฟอกสีฟันที่คลินิกที่ใช้น้ำยาความเข้มข้นสูง อาจให้ผลลัพธ์ที่ขาวขึ้นและอาจอยู่ได้นานกว่าการฟอกสีฟันที่บ้านที่ใช้น้ำยาความเข้มข้นต่ำกว่า แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาหลังการฟอกด้วยเช่นกัน
5.ลักษณะสีฟันดั้งเดิมและพันธุกรรม
- สีฟันตั้งต้น: ผู้ที่มีสีฟันดั้งเดิมค่อนข้างเหลืองหรือคล้ำมาก อาจต้องฟอกสีฟันบ่อยครั้งกว่า หรืออาจต้องรับการฟอกซ้ำเร็วกว่าผู้ที่มีสีฟันค่อนข้างขาวอยู่แล้วโดยธรรมชาติ
- ความหนาของเคลือบฟัน: บางคนมีเคลือบฟันที่บางโดยธรรมชาติ ทำให้เนื้อฟันสีเหลืองด้านในปรากฏให้เห็นชัดเจนกว่า ซึ่งอาจส่งผลต่อการคงความขาวด้วย
วิธีช่วยยืดอายุความขาวของฟันหลังฟอกสีฟัน
เพื่อรักษารอยยิ้มที่ขาวสดใสให้คงอยู่กับคุณไปนานที่สุด ลองปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้:
- ควบคุมการบริโภคสิ่งมีสี: ลดหรือหลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ ไวน์แดง และเครื่องดื่มที่มีสีเข้ม หากดื่ม ให้ใช้หลอดดูดและบ้วนปากด้วยน้ำเปล่าตามทันที
- งดหรือลดการสูบบุหรี่: นี่คือวิธีที่เห็นผลที่สุดในการป้องกันฟันกลับมาเหลือง
- รักษาสุขอนามัยช่องปากอย่างเคร่งครัด: แปรงฟันอย่างถูกวิธี อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ใช้ไหมขัดฟันทุกวัน เพื่อกำจัดคราบจุลินทรีย์และเศษอาหาร
- พบทันตแพทย์เพื่อขูดหินปูนเป็นประจำ: ตรวจสุขภาพช่องปากและขูดหินปูนทุก 6 เดือน เพื่อขจัดคราบสะสมและหินปูนที่อาจทำให้ฟันดูคล้ำลง
- ทำ Touch-up Bleaching: หากคุณฟอกสีฟันที่บ้าน ทันตแพทย์อาจให้คุณเก็บน้ำยาฟอกสีฟันไว้เพื่อใช้ฟอกซ้ำเป็นครั้งคราว (เช่น ทุก 6 เดือน หรือ 1 ปี) เพื่อคงระดับความขาว หรือหากฟอกที่คลินิก อาจพิจารณานัดหมายมาฟอกซ้ำเมื่อสีฟันเริ่มกลับมาคล้ำลง
- ใช้ยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปากสำหรับฟันขาว: เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติช่วยขจัดคราบและป้องกันการเกิดคราบใหม่
การฟอกสีฟันเป็นการลงทุนเพื่อความมั่นใจในรอยยิ้ม และด้วยการดูแลที่เหมาะสม คุณก็สามารถยืดอายุความขาวของฟันให้คงอยู่ได้นานยิ่งขึ้น การใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน จะช่วยให้คุณมีรอยยิ้มที่สดใสและมั่นใจได้ในระยะยาว
10.ใครบ้างที่ไม่ควรฟอกสีฟัน? ข้อควรพิจารณาก่อนตัดสินใจเพื่อความปลอดภัยของคุณ
การฟอกสีฟันเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการทำให้รอยยิ้มของคุณขาวสดใสขึ้น แต่ถึงแม้จะเป็นหัตถการที่ปลอดภัยสำหรับคนส่วนใหญ่ ก็มีบางกรณีที่การฟอกสีฟันอาจไม่เหมาะสม หรือมีข้อควรระวังเป็นพิเศษ การทำความเข้าใจว่าใครบ้างที่ไม่ควรฟอกสีฟันจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุด
กลุ่มบุคคลที่ควรหลีกเลี่ยงหรือปรึกษาทันตแพทย์อย่างใกล้ชิดก่อนฟอกสีฟัน:
1.สตรีมีครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร:
- เหตุผล: แม้จะยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่แน่ชัดชี้ว่าน้ำยาฟอกสีฟันจะเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์หรือทารกที่ดื่มนมแม่ แต่เพื่อความปลอดภัยสูงสุดและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น แพทย์และทันตแพทย์ส่วนใหญ่จึงแนะนำให้ หลีกเลี่ยงการฟอกสีฟันในระหว่างตั้งครรภ์และให้นมบุตร เพราะไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนในการทำหัตถการนี้ และเป็นการดีที่สุดที่จะไม่ให้ร่างกายได้รับสารเคมีใดๆ โดยไม่จำเป็นในช่วงเวลาสำคัญนี้
2.ผู้ที่มีอาการเสียวฟันรุนแรง:
- เหตุผล: หากคุณมีอาการเสียวฟันเป็นประจำอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นจากฟันผุ คอฟันสึก เหงือกร่น หรือเคลือบฟันบาง การฟอกสีฟันอาจทำให้อาการเสียวฟันรุนแรงขึ้นอย่างมากและยาวนานกว่าปกติ
- แนวทางแก้ไข: ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อหาสาเหตุและแก้ไขปัญหาอาการเสียวฟันให้เรียบร้อยก่อน การรักษา เช่น การอุดฟันซี่ที่ผุ การใช้ยาสีฟันลดอาการเสียวฟัน หรือการรักษาคอฟันสึก อาจช่วยลดความไวของฟันก่อนการฟอกสีฟันได้
3.ผู้ที่มีเหงือกอักเสบ หรือโรคปริทันต์ (โรคเหงือกขั้นรุนแรง):
- เหตุผล: เหงือกที่มีอาการอักเสบ บวมแดง มีเลือดออกง่าย หรือมีโรคปริทันต์ ซึ่งมีการสูญเสียกระดูกรอบฟัน จะมีความบอบบางและไวต่อการระคายเคืองอย่างมาก หากน้ำยาฟอกสีฟันสัมผัสกับเหงือกในสภาพนี้ อาจทำให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อน บวม หรือแผลในช่องปากได้
- แนวทางแก้ไข: ต้องได้รับการรักษาโรคเหงือกหรือเหงือกอักเสบให้หายดีและเหงือกอยู่ในสภาพแข็งแรงก่อน การฟอกสีฟัน
4.ผู้ที่แพ้น้ำยาฟอกสีฟัน:
- เหตุผล: แม้จะพบได้น้อย แต่บางรายอาจมีอาการแพ้ต่อส่วนประกอบบางอย่างในน้ำยาฟอกสีฟันได้ เช่น ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ หรือสารอื่นๆ
- แนวทางแก้ไข: หากคุณทราบว่ามีประวัติการแพ้สารเคมีหรือส่วนผสมใดๆ ควรแจ้งทันตแพทย์ให้ทราบทันที ทันตแพทย์จะสามารถตรวจสอบส่วนประกอบของน้ำยาฟอกสีฟัน และพิจารณาทางเลือกอื่นที่เหมาะสม
5.เด็กและเยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 16 ปี:
- เหตุผล: ในเด็กและวัยรุ่น โพรงประสาทฟัน (Pulp) ซึ่งเป็นส่วนที่มีเส้นประสาทและหลอดเลือดอยู่ภายใน ยังมีขนาดใหญ่และพัฒนาไม่เต็มที่ ทำให้ไวต่อสิ่งกระตุ้นได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ การฟอกสีฟันอาจทำให้เกิด อาการเสียวฟันที่รุนแรงมาก ในกลุ่มอายุนี้
- แนวทางแก้ไข: โดยทั่วไปทันตแพทย์จะแนะนำให้รอจนกว่าฟันจะพัฒนาเต็มที่ก่อนที่จะพิจารณาการฟอกสีฟัน
6.ผู้ที่มีวัสดุบูรณะฟันด้านหน้า:
- เหตุผล: การฟอกสีฟันจะไม่มีผลต่อสีของ วัสดุอุดฟัน ครอบฟัน สะพานฟัน หรือวีเนียร์ ที่ทำจากเรซินคอมโพสิตหรือเซรามิก หากฟันธรรมชาติขาวขึ้น แต่ชิ้นงานเหล่านี้ยังคงสีเดิม จะทำให้สีฟันไม่สม่ำเสมอและดูไม่สวยงาม
- แนวทางแก้ไข: ทันตแพทย์จะแจ้งให้คุณทราบถึงข้อจำกัดนี้ และอาจแนะนำให้ เปลี่ยนวัสดุบูรณะเหล่านี้ใหม่ หลังจากฟอกสีฟันธรรมชาติให้ได้สีที่ต้องการแล้ว เพื่อให้สีฟันโดยรวมกลมกลืนกัน
7.ผู้ที่มีคราบสีฟันชนิดพิเศษ (เช่น Tetracycline Stain รุนแรง หรือฟันตายบางซี่):
- เหตุผล: คราบสีฟันที่เกิดจากยาเตตราไซคลีนที่ฝังลึกในเนื้อฟัน หรือฟันที่เปลี่ยนสีเนื่องจากเส้นประสาทตาย (Discolored Non-Vital Tooth) อาจไม่ตอบสนองต่อการฟอกสีฟันปกติได้ดีนัก หรืออาจได้ผลเพียงเล็กน้อย
- แนวทางแก้ไข: ทันตแพทย์จะประเมินลักษณะคราบ และอาจแนะนำวิธีการรักษาอื่นๆ ที่เหมาะสมกว่า เช่น การฟอกสีฟันจากภายใน (Internal Bleaching สำหรับฟันที่ตายแล้ว) การทำวีเนียร์ หรือการทำครอบฟัน
ก่อนตัดสินใจฟอกสีฟัน สิ่งสำคัญที่สุดคือการ
ปรึกษาและตรวจสุขภาพช่องปากอย่างละเอียดโดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ทันตแพทย์จะสามารถประเมินสภาพฟันและเหงือกของคุณ ประวัติสุขภาพ และแจ้งข้อควรพิจารณาต่างๆ เพื่อให้มั่นใจว่าการฟอกสีฟันเป็นทางเลือกที่เหมาะสมและปลอดภัยที่สุดสำหรับคุณ เพื่อรอยยิ้มที่สวยงามและสุขภาพฟันที่ดีในระยะยาว
การฟอกสีฟัน ทางเลือกสู่รอยยิ้มขาวกระจ่างใสอย่างมั่นใจ
การฟอกสีฟันเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและได้รับความนิยมอย่างสูงในการปรับปรุงสีฟันให้ขาวขึ้นอย่างรวดเร็วและเห็นผลชัดเจน แต่สิ่งสำคัญคือการมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับกระบวนการนี้
จากข้อมูลที่เราได้กล่าวไปข้างต้น จะเห็นได้ว่า:
- ฟันเหลืองได้จากหลายสาเหตุ: ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องดื่ม บุหรี่ อายุ ยา หรือแม้แต่พันธุกรรม
- ฟอกสีฟันไม่ใช่การทำความสะอาดฟัน: เป็นกระบวนการทางเคมีเพื่อสลายเม็ดสีภายในฟัน ดังนั้น การตรวจและทำความสะอาดฟันก่อนฟอกจึงสำคัญมาก
- มี 2 ประเภทหลัก: คือการฟอกสีฟันที่ คลินิก ซึ่งรวดเร็ว เห็นผลชัดเจน และการฟอกสีฟันที่ บ้าน ซึ่งสะดวกและประหยัดกว่า แต่ต้องใช้เวลาและความสม่ำเสมอ
- ผลลัพธ์ที่คาดหวังและข้อจำกัด: ฟันจะขาวขึ้นได้หลายเฉด แต่ไม่สามารถเปลี่ยนสีวัสดุอุดฟัน ครอบฟัน หรือวีเนียร์ได้
- การเตรียมตัวก่อนทำสำคัญ: ต้องตรวจสุขภาพช่องปากและรักษาปัญหาฟันผุหรือเหงือกอักเสบก่อนเสมอ เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- อาการข้างเคียงมีแต่ชั่วคราว: อาการเสียวฟันและการระคายเคืองเหงือกมักเกิดขึ้นชั่วคราวและหายไปเอง
- การดูแลหลังทำช่วยยืดอายุความขาว: การหลีกเลี่ยงอาหารสีเข้ม การงดสูบบุหรี่ และการรักษาสุขอนามัยช่องปากที่ดี จะช่วยให้ฟันขาวอยู่กับคุณนานขึ้น
- ผลลัพธ์ไม่ถาวร: โดยทั่วไปความขาวจะคงอยู่ได้ 6 เดือนถึง 2 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลและการใช้ชีวิต
- มีกลุ่มที่ไม่ควรฟอกสีฟัน: เช่น สตรีมีครรภ์ ผู้มีอาการเสียวฟันรุนแรง เหงือกอักเสบ เด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี หรือผู้ที่มีประวัติแพ้น้ำยา
การฟอกสีฟันคือการลงทุนเพื่อความมั่นใจในรอยยิ้มของคุณ และเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ปลอดภัย และยั่งยืน การเลือกคลินิกทันตกรรมที่มีมาตรฐานและทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
หากคุณกำลังมองหาคลินิกทันตกรรมที่พร้อมให้คำปรึกษาและบริการฟอกสีฟันอย่างมืออาชีพ เราขอแนะนำ
เพ็ชราคลินิก ที่เพ็ชราคลินิก เราเข้าใจถึงความต้องการและข้อกังวลของคุณ
เรามีทีมทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญพร้อมให้คำแนะนำอย่างละเอียดในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การตรวจประเมินสุขภาพช่องปาก การเลือกประเภทการฟอกสีฟันที่เหมาะสมกับคุณ ไปจนถึงการดูแลหลังการฟอก เพื่อให้คุณได้รับรอยยิ้มที่ขาวสวยอย่างมั่นใจและปลอดภัย
ให้เพ็ชราคลินิกเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลรอยยิ้มที่สดใสของคุณวันนี้!
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
โทร. 094-741-9369
เวลาเปิด-ปิด วันจันทร์-เสาร์ เวลา 09.00-19.00 น.
พิกัด: https://goo.gl/maps/qUCfWj9PNAhcPuyr8