10 สิ่งที่ต้องรู้ก่อน "ขูดหินปูน" ฉบับเคลียร์ชัดทุกข้อสงสัย

Petcharadentalclinic • July 2, 2025

10 สิ่งที่ต้องรู้ก่อน "ขูดหินปูน" ฉบับเคลียร์ชัดทุกข้อสงสัย!

10 สิ่งที่ต้องรู้ก่อน

10 สิ่งที่ต้องรู้ก่อน "ขูดหินปูน" ฉบับเคลียร์ชัดทุกข้อสงสัย!


1. ขูดหินปูนคืออะไร? ทำไมต้องขูด?

ขูดหินปูนคืออะไร?

การ ขูดหินปูน (Dental Scaling) คือ กระบวนการที่ทันตแพทย์ใช้เครื่องมือพิเศษเพื่อกำจัดคราบจุลินทรีย์ที่แข็งตัว หรือที่เรียกว่า หินปูน (Calculus/Tartar) ซึ่งเกาะอยู่บริเวณผิวฟัน เหนือเหงือก และใต้เหงือก คราบหินปูนเหล่านี้เกิดจากการสะสมของแบคทีเรีย เศษอาหาร และแร่ธาตุในน้ำลายที่ตกตะกอนรวมกันจนเกิดเป็นคราบแข็งที่แปรงฟันธรรมดาไม่สามารถกำจัดออกได้


ทำไมต้องขูดหินปูนเป็นประจำ?

การขูดหินปูนไม่ใช่แค่การทำความสะอาดฟันให้ดูสะอาดขึ้นเท่านั้น แต่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพช่องปากโดยรวม เนื่องจาก:

  • ป้องกันโรคเหงือกอักเสบ: หินปูนเป็นแหล่งสะสมของเชื้อแบคทีเรียจำนวนมาก ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของ โรคเหงือกอักเสบ (Gingivitis) โดยจะมีอาการเหงือกบวม แดง และมีเลือดออกง่ายขณะแปรงฟัน หากปล่อยทิ้งไว้จะลุกลามไปเป็นโรคปริทันต์อักเสบได้
  • ป้องกันโรคปริทันต์อักเสบ: หากไม่ขูดหินปูนเป็นเวลานาน หินปูนจะสะสมลึกลงไปใต้เหงือก ทำให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อปริทันต์ที่รองรับฟัน จนเกิดเป็นร่องลึกปริทันต์ กระดูกรอบรากฟันถูกทำลาย ทำให้ ฟันโยก และอาจนำไปสู่การ สูญเสียฟัน ในที่สุด
  • ลดปัญหากลิ่นปาก: แบคทีเรียที่สะสมอยู่ในคราบหินปูนจะปล่อยสารระเหยที่มีกลิ่นเหม็นออกมา ทำให้เกิดปัญหา กลิ่นปาก (Halitosis) ซึ่งส่งผลต่อความมั่นใจและการเข้าสังคม การขูดหินปูนจะช่วยลดปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ลดความเสี่ยงฟันผุ: แม้ว่าหินปูนจะไม่ได้เป็นสาเหตุโดยตรงของฟันผุ แต่คราบจุลินทรีย์ที่ปกคลุมอยู่บนหินปูนก็เป็นแหล่งอาศัยของแบคทีเรียที่ผลิตกรดออกมาทำลายผิวเคลือบฟัน ทำให้ฟันผุได้ง่ายขึ้น
  • เพื่อสุขอนามัยที่ดีของช่องปาก: การขูดหินปูนเป็นประจำจะช่วยให้ช่องปากสะอาด ลดการสะสมของคราบต่างๆ ทำให้ฟันและเหงือกมีสุขภาพดีขึ้น รู้สึกสะอาดสดชื่นอยู่เสมอ


ทันตแพทย์จึงแนะนำให้ทุกคนเข้ารับการขูดหินปูนอย่างน้อย ปีละ 1-2 ครั้ง หรือทุก 6 เดือน เพื่อรักษาสุขภาพช่องปากที่ดีและป้องกันปัญหาที่อาจตามมาในอนาคต



2. สัญญาณเตือนว่า "ถึงเวลาต้องขูดหินปูนแล้ว"

หลายคนอาจคิดว่าการไปหาหมอฟันเพื่อ ขูดหินปูน เป็นเรื่องที่ต้องทำเมื่อมีอาการผิดปกติรุนแรงเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้วร่างกายของเรามักส่งสัญญาณเตือนเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อบอกว่าถึงเวลาที่คุณต้องไปพบทันตแพทย์เพื่อจัดการกับปัญหาหินปูนที่สะสมแล้ว สังเกตตัวเองดูสิว่าคุณมีสัญญาณเหล่านี้บ้างหรือเปล่า


1. มีเลือดออกขณะแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟัน

นี่คือสัญญาณเตือนที่พบบ่อยที่สุดและชัดเจนที่สุดว่าเหงือกของคุณกำลังอักเสบ หินปูน ที่สะสมอยู่ตามแนวเหงือกจะระคายเคืองเนื้อเยื่อ ทำให้เหงือกบวม แดง และมีเลือดออกง่าย แม้แต่การแปรงฟันเบา ๆ หรือใช้ไหมขัดฟันก็อาจทำให้มีเลือดซึมออกมาได้ หากคุณสังเกตเห็นสิ่งนี้บ่อยครั้ง อย่าละเลยเด็ดขาด


2. เหงือกบวม แดง หรือมีสีคล้ำขึ้น

เหงือกที่มีสุขภาพดีควรมีสีชมพูอ่อนและกระชับ แต่เมื่อมีหินปูนสะสมและเกิดการอักเสบ เหงือกของคุณจะเริ่มมีอาการบวมเป่ง ดูแดงก่ำ หรือบางครั้งอาจมีสีคล้ำขึ้นได้ นี่เป็นอาการบ่งชี้ของ โรคเหงือกอักเสบ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่แบคทีเรียในหินปูนเข้าไปทำลายเนื้อเยื่อเหงือก


3. มีกลิ่นปากเรื้อรัง แม้จะแปรงฟันแล้ว

กลิ่นปาก หรือที่เรียกว่า Halitosis เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าคุณอาจมีหินปูนสะสมมากเกินไป แบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในคราบหินปูนจะทำการย่อยสลายเศษอาหารและผลิตสารระเหยที่มีกลิ่นเหม็นออกมา ทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ในช่องปาก แม้ว่าคุณจะแปรงฟันบ้วนปากแล้วก็ตาม กลิ่นปากก็ยังคงอยู่ไม่หายไป


4. รู้สึกถึงคราบขรุขระ หรือมีคราบเหลือง/ดำ เกาะตามฟัน

ลองใช้ลิ้นสัมผัสดูที่บริเวณผิวฟันใกล้กับเหงือก โดยเฉพาะฟันซี่ใน หากคุณรู้สึกได้ถึงความขรุขระ หรือมองเห็นคราบสีเหลือง สีน้ำตาล หรือสีดำเกาะอยู่ตามผิวฟัน เหนือแนวเหงือก หรือแม้กระทั่งระหว่างซี่ฟัน นั่นคือ หินปูน ที่คุณไม่สามารถแปรงออกได้ด้วยตัวเองแล้ว ยิ่งปล่อยไว้นาน คราบเหล่านี้จะยิ่งแข็งและหนาขึ้น


5. มีอาการเสียวฟัน หรือฟันดูยาวขึ้น

หินปูนที่สะสมตัวนาน ๆ สามารถทำให้เหงือกร่นลงไปได้ เมื่อเหงือกร่น รากฟันที่ปกติถูกปกคลุมอยู่ก็จะเผยออกมา ทำให้เกิดอาการ เสียวฟัน ได้ง่ายเมื่อรับประทานอาหารร้อน เย็น หวาน หรือเปรี้ยว นอกจากนี้ การที่เหงือกร่นยังอาจทำให้ฟันของคุณดูยาวขึ้นกว่าปกติอีกด้วย


6. มีหนองไหลออกจากเหงือก

นี่เป็นสัญญาณเตือนของ โรคปริทันต์อักเสบ ในระยะที่รุนแรงขึ้น เมื่อการอักเสบลุกลามลึกลงไปถึงกระดูกและเนื้อเยื่อที่รองรับฟัน อาจเกิดการติดเชื้อจนมีหนองไหลออกมาจากร่องเหงือก หากมีอาการนี้ ควรรีบไปพบทันตแพทย์ทันทีเพื่อเข้ารับการรักษาอย่างเร่งด่วน


7. รู้สึกว่าฟันไม่กระชับ หรือฟันโยกเล็กน้อย

หากหินปูนได้ลุกลามและทำลายกระดูกที่รองรับฟันไปมากพอ จะทำให้รากฟันไม่ได้รับการยึดเกาะที่มั่นคง คุณอาจเริ่มรู้สึกว่าฟันของคุณไม่กระชับเหมือนเดิม หรืออาจมีอาการ ฟันโยก เล็กน้อย นี่เป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่าคุณกำลังเสี่ยงต่อการสูญเสียฟันในอนาคตอันใกล้


8. มีช่องว่างระหว่างฟันเพิ่มขึ้น หรือฟันเคลื่อนที่

ในบางกรณี การสะสมของหินปูนจำนวนมากอาจทำให้เหงือกร่นและกระดูกถูกทำลาย ส่งผลให้ฟันเคลื่อนที่ออกจากตำแหน่งเดิม หรือเกิดช่องว่างระหว่างฟันเพิ่มขึ้น นี่เป็นผลมาจากความไม่มั่นคงของโครงสร้างรอบ ๆ ตัวฟัน


หากคุณพบสัญญาณเตือนเหล่านี้แม้เพียงข้อเดียว ก็ถึงเวลาแล้วที่คุณควรจะนัดหมายกับทันตแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจสุขภาพช่องปากและ ขูดหินปูน โดยเร็วที่สุด



3. ขูดหินปูนเจ็บไหม? ต้องฉีดยาชาหรือไม่?

หนึ่งในคำถามยอดฮิตที่หลายคนกังวลก่อนไป ขูดหินปูน คือ "จะเจ็บไหม?" ความจริงแล้ว ความรู้สึกเจ็บปวดขณะขูดหินปูนนั้นแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ปริมาณของหินปูนที่สะสม ความไวของแต่ละบุคคล รวมถึงเทคนิคของทันตแพทย์ด้วย


ความรู้สึกระหว่างการขูดหินปูน

โดยทั่วไปแล้ว การขูดหินปูนมักจะรู้สึก เสียวฟัน มากกว่าความรู้สึกเจ็บปวด โดยเฉพาะเมื่อเครื่องมือสัมผัสกับบริเวณที่มีหินปูนหนาแน่น หรือบริเวณคอฟันที่เหงือกร่นลงไป อาจมีอาการเสียวแปลบ ๆ เล็กน้อยคล้ายกับเวลาที่ฟันสัมผัสกับของเย็นจัด ๆ

  • หากมีหินปูนไม่มาก: คุณอาจรู้สึกแค่เพียงแรงสั่นสะเทือนจากเครื่องขูดหินปูนอัลตราโซนิก และแรงกดเล็กน้อยเมื่อทันตแพทย์ใช้เครื่องมือขูดหินปูนแบบมือ (Hand Scaler) ทำความสะอาดตามซอกฟัน
  • หากมีหินปูนสะสมมาก หรือเหงือกอักเสบ: ในกรณีที่หินปูนมีปริมาณมากและสะสมมานาน หรือมีภาวะ เหงือกอักเสบ อยู่แล้ว เหงือกของคุณอาจจะบวมและไวต่อความรู้สึกมากขึ้น ทำให้รู้สึกเจ็บหรือเสียวฟันได้มากกว่าปกติเมื่อมีการทำความสะอาด


กรณีที่อาจต้องฉีดยาชา

โดยปกติแล้ว การขูดหินปูน ทั่วไปไม่จำเป็นต้องฉีดยาชา แต่ในบางกรณี ทันตแพทย์อาจพิจารณาใช้ยาชาเฉพาะที่ เพื่อให้คนไข้รู้สึกสบายที่สุดระหว่างทำ ดังนี้:

  • มีหินปูนใต้เหงือกลึกมาก: หากหินปูนสะสมอยู่ลึกลงไปใต้เหงือกมาก ๆ ซึ่งเป็นสัญญาณของ โรคปริทันต์อักเสบ ทันตแพทย์อาจจำเป็นต้องขูดลึกเข้าไปในร่องเหงือก ซึ่งอาจทำให้รู้สึกเจ็บปวด จึงจำเป็นต้องฉีดยาชาเพื่อระงับความรู้สึกบริเวณนั้น
  • เหงือกอักเสบรุนแรง หรือมีอาการเสียวฟันมาก: สำหรับผู้ที่มีเหงือกอักเสบรุนแรง หรือเป็นคนที่มีอาการ เสียวฟัน ได้ง่ายมาก ๆ การฉีดยาชาจะช่วยลดความรู้สึกไม่สบายและทำให้การทำหัตถการราบรื่นขึ้น
  • ความกังวลและวิตกกังวลสูง: ในบางรายที่มีความกลัวหรือวิตกกังวลเกี่ยวกับการทำฟันมากเป็นพิเศษ การฉีดยาชาจะช่วยให้คนไข้รู้สึกผ่อนคลายและให้ความร่วมมือในการทำฟันได้ดียิ่งขึ้น

ข้อควรรู้: การฉีดยาชาจะออกฤทธิ์เฉพาะที่ ทำให้คุณไม่รู้สึกเจ็บปวดในระหว่างการขูดหินปูน แต่คุณยังคงรับรู้ถึงแรงกดและแรงสั่นสะเทือนอยู่ได้


วิธีการทำให้รู้สึกสบายที่สุดระหว่างขูดหินปูน

หากคุณกังวลเรื่องความเจ็บปวด ไม่ต้องกังวลไป ทันตแพทย์มีวิธีที่จะช่วยให้คุณรู้สึกสบายที่สุดระหว่างการขูดหินปูน:

  1. แจ้งทันตแพทย์ถึงความกังวล: สิ่งสำคัญที่สุดคือการสื่อสาร หากคุณเป็นคนขี้กลัว เจ็บง่าย หรือมีความกังวล ให้แจ้งทันตแพทย์ก่อนเริ่มทำ เพื่อที่ทันตแพทย์จะได้ระมัดระวังและหาวิธีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ
  2. หายใจเข้าออกช้าๆ ลึกๆ: การหายใจอย่างสงบจะช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย ลดความตึงเครียดและความเจ็บปวดได้
  3. แจ้งเมื่อรู้สึกเจ็บ: หากรู้สึกเจ็บปวดหรือไม่สบายใจในระหว่างทำ อย่าลังเลที่จะส่งสัญญาณหรือแจ้งให้ทันตแพทย์ทราบ ทันตแพทย์จะหยุดพักหรือปรับเปลี่ยนวิธีการเพื่อให้คุณสบายขึ้น
  4. ใช้ยาชาเฉพาะที่: หากคุณมีอาการเสียวฟันมาก หรือมีหินปูนสะสมลึก ทันตแพทย์อาจพิจารณาใช้ยาชาแบบทา หรือยาชาแบบฉีด เพื่อลดความเจ็บปวด
  5. เลือกคลินิกและทันตแพทย์ที่มีประสบการณ์: ทันตแพทย์ที่มีความชำนาญและประสบการณ์จะสามารถทำหัตถการได้อย่างนุ่มนวลและรวดเร็ว ช่วยลดความรู้สึกไม่สบายลงได้มาก

โดยสรุปแล้ว การขูดหินปูนอาจไม่ได้เจ็บปวดอย่างที่คุณคิดเสมอไป และทันตแพทย์ก็พร้อมที่จะช่วยให้ประสบการณ์การทำฟันของคุณราบรื่นและสบายที่สุดเท่าที่จะทำได้



4. เตรียมตัวอย่างไรก่อนไปขูดหินปูน? (มีอะไรบ้างที่ต้องรู้?)

การเตรียมตัวที่ดีก่อนไป ขูดหินปูน จะช่วยให้กระบวนการเป็นไปอย่างราบรื่น ลดความกังวล และทำให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดจากการรักษา นี่คือสิ่งที่คุณควรรู้และเตรียมตัวก่อนไปพบทันตแพทย์:


1. แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันให้สะอาดก่อนไป

แม้ว่าเป้าหมายหลักของการไปขูดหินปูนคือการทำความสะอาด แต่การแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันให้สะอาดที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนไปคลินิก จะช่วยให้ทันตแพทย์ทำงานได้ง่ายขึ้น และใช้เวลาน้อยลงในการกำจัดเศษอาหารและคราบจุลินทรีย์ที่ไม่ใช่หินปูนออกไป นอกจากนี้ยังเป็นการรักษาสุขอนามัยที่ดีก่อนเข้ารับการรักษาด้วย


2. แจ้งประวัติสุขภาพและโรคประจำตัวให้ทันตแพทย์ทราบอย่างละเอียด

นี่คือสิ่งสำคัญที่สุด! การแจ้งข้อมูลสุขภาพที่ครบถ้วนจะช่วยให้ทันตแพทย์ประเมินความเสี่ยงและเตรียมพร้อมสำหรับการรักษาได้อย่างเหมาะสม คุณควรแจ้งข้อมูลเหล่านี้:

  • โรคประจำตัว: เช่น โรคหัวใจ, เบาหวาน, ความดันโลหิตสูง, โรคไต, โรคเลือดออกผิดปกติ, หรือโรคทางภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  • ยาที่กำลังรับประทานอยู่: รวมถึงยาตามใบสั่งแพทย์, ยาที่ซื้อเอง, อาหารเสริม, หรือสมุนไพรบางชนิด โดยเฉพาะยาละลายลิ่มเลือด (เช่น Aspirin, Warfarin) เพราะอาจส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด
  • ประวัติการแพ้ยา แพ้อาหาร หรือแพ้วัสดุอื่นๆ: เช่น ยาชา, ยาปฏิชีวนะ หรือแพ้ยาง (Latex)
  • เคยเข้ารับการผ่าตัดหรือไม่: โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ หรือข้อเทียม เพราะอาจต้องมีการให้ยาปฏิชีวนะก่อนทำฟันเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
  • กำลังตั้งครรภ์ หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร: เพื่อที่ทันตแพทย์จะได้พิจารณาการรักษาที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับคุณและลูกน้อย

การบอกข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ทันตแพทย์วางแผนการรักษาได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะบางสภาวะหรือยาบางชนิดอาจส่งผลต่อการทำหัตถการหรือจำเป็นต้องมีการเตรียมการพิเศษ


3. แจ้งความกังวลหรือความกลัวเกี่ยวกับการทำฟัน

หากคุณเป็นคนที่มีความกลัวหรือวิตกกังวลเกี่ยวกับการทำฟัน (Dental Phobia) หรือเคยมีประสบการณ์ที่ไม่ดีจากการทำฟันในอดีต ควรแจ้งให้ทันตแพทย์หรือผู้ช่วยทันตแพทย์ทราบก่อนเริ่มทำ การสื่อสารความกังวลของคุณจะช่วยให้ทีมทันตแพทย์เข้าใจและสามารถให้การดูแลที่นุ่มนวลขึ้น หรือแนะนำวิธีการลดความกังวล เช่น การใช้ยาชา หรือการให้หยุดพักเป็นระยะระหว่างการรักษา


4. เตรียมตัวสำหรับค่าใช้จ่ายและการใช้สิทธิ์

หากคุณมีสิทธิ์ ประกันสังคม หรือ บัตรทอง ที่สามารถใช้กับการขูดหินปูนได้ ควรสอบถามกับคลินิกให้ชัดเจนก่อนเข้ารับบริการว่าคลินิกรับสิทธิ์เหล่านี้หรือไม่ และมีขั้นตอนการใช้สิทธิ์อย่างไร ต้องเตรียมเอกสารอะไรไปบ้าง (เช่น บัตรประชาชน) หรือหากต้องชำระเงินเอง ควรสอบถามราคาโดยประมาณเพื่อเตรียมพร้อมด้านค่าใช้จ่าย


5. วางแผนการเดินทาง

เผื่อเวลาในการเดินทางไปยังคลินิก และเวลาสำหรับการทำหัตถการให้เพียงพอ โดยปกติการขูดหินปูนใช้เวลาประมาณ 30-60 นาที ขึ้นอยู่กับปริมาณหินปูนที่สะสม หากขับรถไปเอง ควรตรวจสอบที่จอดรถของคลินิกด้วย


6. พักผ่อนให้เพียงพอ

การพักผ่อนอย่างเพียงพอจะช่วยให้ร่างกายและจิตใจของคุณผ่อนคลาย ลดความเครียดและความอ่อนล้าที่อาจส่งผลต่อความรู้สึกเจ็บปวดระหว่างการทำฟันได้

การเตรียมตัวที่ดีเหล่านี้จะช่วยให้คุณพร้อมสำหรับการขูดหินปูน และทำให้การดูแลสุขภาพช่องปากเป็นเรื่องที่ง่ายและสบายใจขึ้น



5. ขั้นตอน "ขูดหินปูน" ทันตแพทย์ทำอะไรบ้าง?

หลายคนอาจสงสัยว่าเมื่อไปถึงคลินิกแล้ว ทันตแพทย์จะทำอะไรกับปากของเราบ้าง? การทำความเข้าใจขั้นตอนการ ขูดหินปูน อย่างละเอียดจะช่วยให้คุณคลายความกังวลและรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นระหว่างการรักษา นี่คือกระบวนการที่คุณจะได้พบเจอ ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ


1. ตรวจสุขภาพช่องปากเบื้องต้น

ก่อนเริ่มขูดหินปูน ทันตแพทย์จะทำการตรวจสุขภาพช่องปากของคุณอย่างละเอียด เพื่อประเมินสภาพฟัน เหงือก และปริมาณของหินปูนที่สะสมอยู่ ทันตแพทย์อาจใช้กระจกเล็กๆ ส่องดูฟันทุกซี่ และใช้เครื่องมือตรวจหาหินปูนที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าในบางจุด การตรวจนี้จะช่วยให้ทันตแพทย์วางแผนการขูดหินปูนได้อย่างเหมาะสม และอาจแจ้งให้คุณทราบถึงปัญหาอื่นๆ ที่ตรวจพบ เช่น ฟันผุ หรือเหงือกอักเสบรุนแรง


2. กำจัดคราบหินปูนด้วยเครื่องขูดหินปูนอัลตราโซนิก

นี่คือขั้นตอนหลักของการขูดหินปูน ทันตแพทย์จะใช้ เครื่องขูดหินปูนอัลตราโซนิก (Ultrasonic Scaler) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มีปลายโลหะเล็กๆ สั่นสะเทือนด้วยความถี่สูง ปลายเครื่องมือนี้จะถูกนำไปสัมผัสกับคราบหินปูน เพื่อให้แรงสั่นสะเทือนช่วยกะเทาะหินปูนให้หลุดออกจากผิวฟัน พร้อมกันนั้น เครื่องมือยังมีระบบพ่นน้ำออกมาตลอดเวลาเพื่อล้างเศษหินปูนที่หลุดออกมา และช่วยลดความร้อนจากการสั่นสะเทือน คุณจะได้ยินเสียงสั่นสะเทือนและอาจรู้สึกถึงแรงดันหรือความเย็นจากน้ำที่ฉีดออกมา ทันตแพทย์จะค่อยๆ ไล่ทำความสะอาดไปทีละซี่ ทั้งบริเวณผิวฟันด้านนอก ด้านใน และตามซอกฟัน


3. ขูดหินปูนเก็บรายละเอียดด้วยเครื่องมือแบบมือ (Hand Scaler)

หลังจากใช้เครื่องอัลตราโซนิกกำจัดหินปูนก้อนใหญ่ๆ ออกไปแล้ว ทันตแพทย์จะใช้ เครื่องมือขูดหินปูนแบบมือ (Hand Scaler) ซึ่งเป็นเครื่องมือขนาดเล็กและปลายแหลมคม ค่อยๆ ขูดเก็บรายละเอียดหินปูนที่ยังหลงเหลืออยู่ โดยเฉพาะในบริเวณที่เข้าถึงยาก เช่น ใต้เหงือก หรือซอกฟันที่แคบมาก รวมถึงการขูดตามแนวรากฟันหากมีหินปูนสะสมอยู่ลึก การใช้เครื่องมือมือจะช่วยให้ทันตแพทย์มั่นใจว่าหินปูนถูกกำจัดออกไปอย่างหมดจด


4. การกรอรากฟัน (Root Planing) (ถ้าจำเป็น)

ในกรณีที่ผู้ป่วยมี โรคปริทันต์อักเสบ รุนแรง และมีหินปูนสะสมอยู่ลึกลงไปบนผิวรากฟันใต้เหงือก ทันตแพทย์อาจทำการ กรอรากฟัน (Root Planing) เพิ่มเติม ขั้นตอนนี้คือการทำให้ผิวรากฟันที่ขรุขระ (ซึ่งมักเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรีย) เรียบเนียนขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้แบคทีเรียและหินปูนกลับมาเกาะได้ง่ายอีกครั้ง ขั้นตอนนี้อาจจำเป็นต้องใช้ยาชาเฉพาะที่ เนื่องจากเป็นการทำความสะอาดที่ลึกลงไปกว่าปกติ


5. การขัดฟัน (Polishing)

เมื่อกำจัดหินปูนออกจนหมดแล้ว ทันตแพทย์จะทำการ ขัดฟัน (Polishing) โดยใช้หัวขัดยางขนาดเล็กที่หมุนด้วยความเร็วต่ำ ร่วมกับยาสีฟันชนิดพิเศษสำหรับขัดฟัน (Polishing Paste) การขัดฟันจะช่วยขจัดคราบสีที่ติดอยู่บนผิวฟัน เช่น คราบชา กาแฟ หรือบุหรี่ ทำให้ผิวฟันเรียบเนียน สะอาด และเงางามขึ้น ซึ่งจะช่วยลดการสะสมของคราบจุลินทรีย์ในอนาคตด้วย


6. การล้างปากและให้คำแนะนำ

เมื่อขั้นตอนการขูดหินปูนและการขัดฟันเสร็จสิ้น ทันตแพทย์จะให้คุณบ้วนปากเพื่อล้างเศษต่างๆ ออกไป จากนั้นจะทำการตรวจเช็กอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีหินปูนหลงเหลืออยู่ ทันตแพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพช่องปากหลังการขูดหินปูน รวมถึงวิธีแปรงฟันที่ถูกต้อง การใช้ไหมขัดฟันอย่างมีประสิทธิภาพ และความถี่ในการมาพบทันตแพทย์เพื่อขูดหินปูนในครั้งต่อไป

ระยะเวลาในการขูดหินปูนโดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 30-60 นาที ขึ้นอยู่กับปริมาณหินปูนของแต่ละบุคคลและสภาพช่องปาก การทำความสะอาดฟันด้วยการขูดหินปูนเป็นประจำ



6. หลังขูดหินปูนดูแลตัวเองอย่างไร? (อาการที่อาจเกิดขึ้นและวิธีรับมือ)

หลังจากที่ทันตแพทย์ได้กำจัด หินปูน ที่สะสมมานานออกไปแล้ว ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่คุณจะต้องดูแลช่องปากเป็นพิเศษ เพื่อให้เหงือกและฟันได้ฟื้นตัวอย่างเต็มที่ และป้องกันไม่ให้หินปูนกลับมาสะสมเร็วเกินไป แม้ว่าอาการหลังขูดหินปูนส่วนใหญ่มักไม่รุนแรงและจะดีขึ้นเองในไม่กี่วัน แต่การรู้วิธีดูแลตัวเองและการรับมือกับอาการที่อาจเกิดขึ้น จะช่วยให้คุณสบายใจและฟื้นตัวได้ไวขึ้น


อาการปกติที่อาจเกิดขึ้นหลังขูดหินปูน

เป็นเรื่องปกติที่จะมีอาการบางอย่างเกิดขึ้นหลังการ ขูดหินปูน โดยเฉพาะหากคุณมีหินปูนสะสมมาก หรือมีภาวะเหงือกอักเสบอยู่ก่อนแล้ว อาการเหล่านี้มักจะอยู่เพียงไม่กี่วันและจะค่อยๆ ดีขึ้น:

  • อาการเสียวฟัน: นี่คืออาการที่พบบ่อยที่สุดหลังขูดหินปูน เพราะคราบหินปูนที่เคยปกคลุมผิวฟันและรากฟันได้ถูกกำจัดออกไป ทำให้เนื้อฟันและรากฟันที่เคยถูกปกปิดไว้สัมผัสกับสิ่งกระตุ้นได้โดยตรง เช่น อากาศ, น้ำเย็น, น้ำร้อน, หรืออาหารรสเปรี้ยว/หวาน อาการเสียวฟันมักจะเกิดขึ้นในช่วง 2-3 วันแรก และจะค่อยๆ ลดลงเมื่อเหงือกและเนื้อฟันปรับสภาพได้
  • เหงือกบวมแดง หรือมีเลือดซึมเล็กน้อย: หากก่อนขูดหินปูนคุณมีภาวะเหงือกอักเสบอยู่แล้ว การขูดหินปูนจะไปกระตุ้นให้เหงือกบวมแดงขึ้นเล็กน้อย และอาจมีเลือดซึมออกมาขณะแปรงฟันหรือบ้วนปากในช่วง 1-2 วันแรก ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีว่าเหงือกกำลังฟื้นตัว
  • รู้สึกแปลกๆ ในช่องปาก หรือช่องว่างระหว่างฟัน: เมื่อหินปูนก้อนใหญ่ๆ หลุดออกไป คุณอาจรู้สึกว่ามีช่องว่างระหว่างฟันมากขึ้น หรือลิ้นรู้สึกแปลกๆ ในบริเวณที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน นี่เป็นเพราะพื้นที่ที่เคยถูกหินปูนครอบครองได้ว่างลง ไม่ได้หมายความว่าฟันห่างขึ้นจริง ๆ แต่อย่างใด
  • รู้สึกเจ็บ หรือระบมเล็กน้อย: ในบางกรณี หากมีการขูดหินปูนที่ลึกมาก หรือมีเหงือกอักเสบรุนแรง อาจรู้สึกเจ็บหรือระบมเล็กน้อยในบริเวณเหงือกที่ถูกทำความสะอาด


วิธีดูแลตัวเองและรับมือกับอาการหลังขูดหินปูน

เพื่อช่วยให้ช่องปากของคุณฟื้นตัวได้ดีและรวดเร็ว ควรปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้:

1.แปรงฟันให้ถูกวิธีอย่างอ่อนโยน: ใช้แปรงสีฟันขนนุ่ม แปรงฟันอย่างเบามือและพิถีพิถัน โดยเฉพาะบริเวณเหงือกและซอกฟัน เพื่อไม่ให้ระคายเคืองเหงือกที่กำลังฟื้นตัว ควรแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง

2.ใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ: ยังคงต้องใช้ไหมขัดฟันอย่างต่อเนื่องทุกวัน วันละ 1 ครั้ง เพื่อกำจัดเศษอาหารและคราบจุลินทรีย์ที่อาจติดอยู่ตามซอกฟัน แม้ว่าจะมีเลือดซึมเล็กน้อยก็ตาม ก็ยังต้องทำอย่างเบามือ

3.บ้วนปากด้วยน้ำเกลืออุ่นๆ หรือน้ำยาบ้วนปากที่เหมาะสม:

  • น้ำเกลือ: ผสมเกลือครึ่งช้อนชากับน้ำอุ่น 1 แก้ว (250 มล.) บ้วนปากเบาๆ วันละ 2-3 ครั้ง โดยเฉพาะหลังมื้ออาหาร น้ำเกลือจะช่วยลดการอักเสบและช่วยในการสมานแผล
  • น้ำยาบ้วนปาก: เลือกน้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ หรือน้ำยาบ้วนปากที่ช่วยลดอาการเสียวฟัน หลีกเลี่ยงน้ำยาบ้วนปากที่มีแอลกอฮอล์สูงในช่วงแรก เพราะอาจทำให้แสบหรือระคายเคืองได้

4. หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่กระตุ้นอาการเสียวฟัน: ในช่วง 2-3 วันแรก ควรหลีกเลี่ยงอาหารหรือเครื่องดื่มที่ร้อนจัด เย็นจัด เปรี้ยวจัด หวานจัด หรืออาหารที่แข็งและเหนียว เพื่อลดอาการเสียวฟันและป้องกันการระคายเคือง

5.ใช้ยาสีฟันลดอาการเสียวฟัน: หากมีอาการเสียวฟันมากเป็นพิเศษ ลองใช้ยาสีฟันสำหรับลดอาการเสียวฟันโดยเฉพาะ ซึ่งมีส่วนผสมที่ช่วยอุดช่องว่างเล็กๆ ในเนื้อฟัน และลดการส่งสัญญาณความรู้สึกไปที่เส้นประสาท

6.หลีกเลี่ยงการใช้ลิ้นดุน หรือนิ้วเขี่ยบริเวณเหงือก: ปล่อยให้เหงือกได้ฟื้นตัวตามธรรมชาติ การไปรบกวนบ่อยๆ อาจทำให้ระคายเคืองและหายช้าลง

7.รับประทานยาแก้ปวด (หากจำเป็น): หากมีอาการเจ็บหรือระบมเล็กน้อยที่ทำให้รู้สึกไม่สบาย สามารถรับประทานยาแก้ปวดที่หาซื้อได้ทั่วไป เช่น พาราเซตามอล (Paracetamol) เพื่อบรรเทาอาการ

8.รักษาสุขภาพช่องปากอย่างสม่ำเสมอ: หัวใจสำคัญที่สุดคือการแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอในทุกๆ วัน เพื่อป้องกันไม่ให้คราบจุลินทรีย์และหินปูนกลับมาสะสมอีกครั้ง

หากอาการต่างๆ ไม่ดีขึ้น หรือมีอาการรุนแรงขึ้น เช่น ปวดมาก มีไข้ เหงือกบวมผิดปกติ หรือมีหนองไหล ควรรีบกลับไปพบทันตแพทย์ทันทีเพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม



7. ทำไมบางคน "ขูดหินปูนแล้วเสียวฟัน" และแก้ยังไง?

อาการ เสียวฟัน หลังการ ขูดหินปูน เป็นปัญหาที่พบบ่อยและสร้างความกังวลใจให้กับหลายคน ไม่ต้องแปลกใจหากคุณเป็นหนึ่งในนั้น เพราะนี่คือปฏิกิริยาปกติที่เกิดขึ้นได้ สาเหตุหลักไม่ได้มาจากการที่ทันตแพทย์ทำรุนแรงหรือฟันของคุณอ่อนแอผิดปกติ แต่เป็นเพราะกลไกทางธรรมชาติของฟันที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงภายในช่องปากต่างหาก


สาเหตุหลักของอาการเสียวฟันหลังขูดหินปูน

การทำความเข้าใจสาเหตุจะช่วยให้คุณคลายความกังวลและรับมือกับอาการได้อย่างเหมาะสม:

1.การกำจัดสิ่งปกคลุมฟันออกไป:

  • หินปูนคืออะไร? หินปูน (Dental Calculus) คือคราบจุลินทรีย์ที่สะสมตัวแข็งตัวบนผิวฟันมาเป็นเวลานาน มันทำหน้าที่เป็นเหมือนเกราะปกคลุมผิวฟันและรากฟันในบริเวณที่เหงือกร่นไป
  • ทำไมถึงเสียวฟัน? เมื่อทันตแพทย์ทำการขูดหินปูนออกไปอย่างหมดจด เนื้อฟันและรากฟันที่เคยถูกหินปูนปกคลุมอยู่ก็จะถูกเปิดเผยออกสู่ช่องปากโดยตรง ทำให้ท่อเล็กๆ จำนวนมาก (Dentin Tubules) บนเนื้อฟันที่เชื่อมต่อไปยังเส้นประสาทฟันเปิดออก เมื่อมีสิ่งกระตุ้น เช่น ความเย็น ความร้อน ความเปรี้ยว หรือความหวานมาสัมผัส ก็จะส่งผ่านความรู้สึกไปยังเส้นประสาท ทำให้เกิดอาการเสียวฟันขึ้นมาได้

2.เหงือกอักเสบและภาวะเหงือกร่น:

  • ก่อนขูดหินปูน: หากมีหินปูนสะสมมาก มักจะทำให้เกิด เหงือกอักเสบ และในบางกรณีอาจทำให้เหงือกร่นลงไป เผยให้เห็นผิวรากฟันที่ปกติแล้วควรจะอยู่ใต้เหงือก
  • หลังขูดหินปูน: เมื่อกำจัดหินปูนออกไป เหงือกที่บวมอยู่ก่อนแล้วอาจจะยุบตัวลง ทำให้รากฟันที่เคยถูกหินปูนและเหงือกบวมปกคลุมอยู่ถูกเปิดเผยออกมามากขึ้น ยิ่งทำให้ไวต่อความรู้สึกเสียวฟัน

3.การปรับสภาพของเนื้อเยื่อ:

  • หลังจากการขูดหินปูน ช่องปากและเนื้อเยื่อโดยรอบต้องใช้เวลาในการปรับสภาพและฟื้นตัว อาการเสียวฟันมักจะเกิดขึ้นในช่วงสั้นๆ ประมาณ 2-3 วันถึง 1-2 สัปดาห์ และจะค่อยๆ ลดลงเมื่อเหงือกและฟันเริ่มปรับตัวเข้ากับสภาพช่องปากที่สะอาดขึ้น


แนวทางแก้ไขและบรรเทาอาการเสียวฟันหลังขูดหินปูน

ไม่ต้องกังวลใจไป อาการเสียวฟันหลังขูดหินปูนส่วนใหญ่มักเป็นเพียงชั่วคราวและมีวิธีรับมือได้ง่ายๆ ดังนี้:

1.ใช้ยาสีฟันลดอาการเสียวฟันโดยเฉพาะ (Desensitizing Toothpaste):

  • ยาสีฟันประเภทนี้มีส่วนผสมพิเศษ (เช่น โปแตสเซียมไนเตรต หรือสตรอนเทียมคลอไรด์) ที่ช่วยปิดท่อเนื้อฟันเล็กๆ ที่เปิดออก หรือลดการส่งสัญญาณประสาท ทำให้ลดอาการเสียวฟันได้ ใช้เป็นประจำวันละ 2 ครั้ง จะเห็นผลได้ดีขึ้น

2.หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่กระตุ้นอาการเสียวฟัน:

  • ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก ควรงดหรือลดการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มีอุณหภูมิสุดขั้ว (ร้อนจัด เย็นจัด) รวมถึงอาหารรสจัด เช่น เปรี้ยวจัด หวานจัด เพื่อลดการกระตุ้นอาการเสียวฟัน

3.แปรงฟันอย่างถูกวิธีและอ่อนโยน:

  • ใช้แปรงสีฟันที่มีขนนุ่ม (Soft bristles) และแปรงฟันอย่างเบามือ ไม่ต้องออกแรงกดมากเกินไป เน้นการแปรงให้สะอาดทั่วถึง โดยเฉพาะบริเวณคอฟันและแนวเหงือกที่อาจจะยังไวต่อความรู้สึกอยู่ การแปรงฟันที่รุนแรงเกินไปจะยิ่งทำให้เหงือกร่นและเสียวฟันมากขึ้น

4.ใช้ไหมขัดฟันอย่างระมัดระวัง:

  • ยังคงต้องใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำทุกวัน แต่ให้ทำอย่างนุ่มนวลและระมัดระวัง ไม่ต้องกดหรือถูแรงๆ บริเวณที่เสียวฟัน การใช้ไหมขัดฟันช่วยขจัดคราบจุลินทรีย์ที่ตกค้างและป้องกันการสะสมใหม่ของหินปูน

5.บ้วนปากด้วยน้ำเกลืออุ่นๆ:

  • การบ้วนปากด้วยน้ำเกลืออุ่นๆ (เกลือ 1/2 ช้อนชา ต่อน้ำอุ่น 1 แก้ว) วันละ 2-3 ครั้ง ช่วยลดการอักเสบในช่องปาก และส่งเสริมการสมานของเหงือก

6.ปรึกษาทันตแพทย์หากอาการไม่ดีขึ้น:

  • หากอาการเสียวฟันไม่ดีขึ้นหลังจากผ่านไป 2-3 สัปดาห์ หรือมีอาการรุนแรงขึ้น ควรกลับไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย ทันตแพทย์อาจพิจารณาการรักษาเพิ่มเติม เช่น การทาฟลูออไรด์เข้มข้น หรือสารเคลือบฟันเพื่อลดอาการเสียวฟันในคลินิก

อาการเสียวฟันหลังขูดหินปูนเป็นเรื่องปกติและบ่งบอกว่าการทำความสะอาดหินปูนนั้นได้ผลดีในการกำจัดสิ่งแปลกปลอมออกไป เพียงแค่ดูแลช่องปากอย่างถูกวิธีและอดทนรอสักนิด อาการเหล่านี้ก็จะค่อยๆ หายไปเอง



8. ขูดหินปูนบ่อยแค่ไหนถึงจะดี?

คำถามยอดนิยมที่หลายคนสงสัยคือ "ควรไป ขูดหินปูน บ่อยแค่ไหน?" คำตอบโดยทั่วไปที่ทันตแพทย์แนะนำคือ ทุก 6 เดือน หรือปีละ 2 ครั้ง แต่ความถี่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละบุคคลนั้นอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อการก่อตัวของหินปูนในช่องปากของคุณ


ทำไมต้องทุก 6 เดือน?

การแนะนำให้ขูดหินปูนทุก 6 เดือน มีเหตุผลทางการแพทย์รองรับ:

  • ป้องกันการสะสมตัวของหินปูน: คราบจุลินทรีย์ (Plaque) ที่สะสมบนผิวฟันจะเริ่มแข็งตัวเป็นหินปูน (Calculus) ได้ภายในเวลาประมาณ 24-72 ชั่วโมง และจะสะสมตัวไปเรื่อยๆ การขูดหินปูนทุก 6 เดือน เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะกำจัดหินปูนออกไปก่อนที่มันจะสะสมตัวจนสร้างปัญหาให้กับเหงือกและฟันได้รุนแรง
  • ตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำ: การไปพบทันตแพทย์ทุก 6 เดือน ไม่ใช่แค่การขูดหินปูนเท่านั้น แต่ยังเป็นการตรวจสุขภาพช่องปากโดยรวม ทันตแพทย์จะสามารถตรวจพบปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เช่น ฟันผุระยะเริ่มต้น หรือสัญญาณของโรคเหงือกอักเสบได้ทันท่วงที ก่อนที่จะลุกลามเป็นปัญหาใหญ่ที่รักษายากและมีค่าใช้จ่ายสูง
  • รักษาสุขอนามัยที่ดี: การทำความสะอาดอย่างล้ำลึกโดยผู้เชี่ยวชาญเป็นประจำ ช่วยให้ช่องปากของคุณสะอาด ปราศจากคราบและแบคทีเรีย ลดปัญหากลิ่นปาก และรักษาเหงือกให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอ


ปัจจัยที่อาจทำให้ต้องขูดหินปูนบ่อยขึ้น

แม้ว่า 6 เดือนจะเป็นมาตรฐาน แต่ในบางกรณี ทันตแพทย์อาจแนะนำให้คุณไปขูดหินปูนบ่อยกว่านั้น เช่น ทุก 3-4 เดือน หากคุณมีปัจจัยเหล่านี้:

  1. มีแนวโน้มการเกิดหินปูนสูง: บางคนมีน้ำลายที่มีส่วนประกอบแร่ธาตุที่เอื้อต่อการตกตะกอนของหินปูนมากกว่าปกติ หรือมีโครงสร้างฟันที่ซับซ้อน ทำให้มีซอกหลืบที่ทำความสะอาดยาก หินปูนจึงก่อตัวได้เร็วกว่าคนทั่วไป
  2. มีโรคเหงือก หรือโรคปริทันต์อักเสบ: หากคุณเป็นโรคเหงือกอักเสบ หรือมีประวัติเป็น โรคปริทันต์อักเสบ มาก่อน การขูดหินปูนที่บ่อยขึ้นถือเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาและควบคุมโรค เพื่อป้องกันไม่ให้โรคกลับมาเป็นซ้ำหรือลุกลามมากขึ้น
  3. มีปัญหาสุขภาพบางอย่าง: ผู้ป่วยที่มีภาวะบางอย่าง เช่น โรคเบาหวานที่ควบคุมได้ไม่ดี หรือผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง อาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเหงือกและปัญหาช่องปากอื่นๆ สูงกว่าปกติ ทันตแพทย์จึงอาจแนะนำให้มาตรวจและทำความสะอาดบ่อยขึ้น
  4. สุขอนามัยช่องปากไม่ดีนัก: หากคุณแปรงฟันไม่สะอาดพอ ไม่ได้ใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ หรือมีพฤติกรรมการดูแลช่องปากที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้คราบจุลินทรีย์และหินปูนสะสมได้เร็วกว่าปกติ
  5. มีพฤติกรรมเสี่ยง: การสูบบุหรี่ หรือการดื่มชา กาแฟ เป็นประจำ อาจทำให้มีคราบและหินปูนสะสมได้ง่ายและเร็วกว่าคนทั่วไป
  6. ใส่เครื่องมือจัดฟัน: ผู้ที่จัดฟันแบบติดแน่น อาจมีซอกมุมและบริเวณที่ทำความสะอาดได้ยาก ทำให้มีเศษอาหารและคราบจุลินทรีย์สะสมได้ง่ายกว่าปกติ ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดหินปูนได้เร็วขึ้น ทันตแพทย์จัดฟันจึงมักแนะนำให้ขูดหินปูนบ่อยขึ้น


สังเกตตัวเองและปรึกษาทันตแพทย์

สิ่งสำคัญที่สุดคือการ สังเกตสัญญาณเตือน จากช่องปากของคุณเอง เช่น มีเลือดออกขณะแปรงฟัน มีกลิ่นปาก เหงือกบวม หรือรู้สึกมีคราบหนาๆ เกาะที่ฟัน หากพบสัญญาณเหล่านี้ แม้จะยังไม่ครบ 6 เดือน ก็ไม่ควรละเลย ควรรีบไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจและรับคำแนะนำที่เหมาะสม

ท้ายที่สุดแล้ว ทันตแพทย์คือผู้เชี่ยวชาญที่จะสามารถประเมินสภาพช่องปากของคุณได้อย่างแม่นยำที่สุด และให้คำแนะนำเกี่ยวกับ ความถี่ในการขูดหินปูน ที่เหมาะสมกับคุณโดยเฉพาะ การดูแลสุขภาพช่องปากด้วยการขูดหินปูนเป็นประจำตามคำแนะนำของทันตแพทย์



9. ขูดหินปูน "ราคาเท่าไหร่"? ใช้สิทธิ์ประกันสังคม/บัตรทองได้ไหม?

หนึ่งในคำถามแรกๆ ที่หลายคนนึกถึงเมื่อคิดจะไป ขูดหินปูน คือเรื่องของ ราคา และสิทธิ์ในการใช้ประกันสุขภาพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ประกันสังคม เพื่อให้คุณคลายความสงสัยและเตรียมพร้อมก่อนเข้ารับบริการ เรามาทำความเข้าใจเรื่องค่าใช้จ่ายและเงื่อนไขต่างๆ 


ราคาการขูดหินปูนโดยประมาณ

ราคาสำหรับการ ขูดหินปูน ในคลินิกทันตกรรมโดยทั่วไปจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น:

  • ปริมาณของหินปูน: หากมีหินปูนสะสมน้อย ขั้นตอนการทำก็จะใช้เวลาน้อยและอาจมีราคาถูกกว่า
  • ความยากง่ายของเคส: หากมีหินปูนฝังลึกใต้เหงือกมาก หรือมีภาวะเหงือกอักเสบรุนแรง อาจต้องใช้เวลาและเทคนิคที่ซับซ้อนขึ้น ซึ่งอาจมีราคาสูงขึ้น
  • ทำเลที่ตั้งของคลินิก: คลินิกที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ใจกลางเมืองหรือย่านธุรกิจ อาจมีราคาสูงกว่าคลินิกที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลออกไป
  • ชื่อเสียงและมาตรฐานของคลินิก: คลินิกที่มีชื่อเสียง มีอุปกรณ์ที่ทันสมัย หรือมีทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ อาจมีค่าบริการสูงกว่า
  • โปรโมชั่นของคลินิก: บางคลินิกอาจมีโปรโมชั่นหรือแพ็กเกจขูดหินปูนในช่วงเวลาพิเศษ

โดยเฉลี่ยแล้ว ราคาขูดหินปูนที่เพ็ชราคลินิก เริ่มต้น1,000 บาท หากเป็นการขูดหินปูนร่วมกับการกรอรากฟันในกรณีของโรคปริทันต์อักเสบ ค่าใช้จ่ายก็จะสูงขึ้นไปอีกขึ้นอยู่กับจำนวนซี่ฟันและระดับความรุนแรง

คำแนะนำ: ควรสอบถามราคาโดยตรงจากคลินิกก่อนเข้ารับบริการ เพื่อความชัดเจนและเปรียบเทียบราคา


ใช้สิทธิ์ประกันสังคมได้ไหม?

ข่าวดีคือ ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และมาตรา 39 ของสำนักงานประกันสังคม มีสิทธิ์เข้ารับบริการทางทันตกรรมโดยไม่ต้องสำรองจ่าย (หรือเบิกคืนภายหลัง) ในวงเงินไม่เกิน 900 บาทต่อปี สำหรับค่าบริการทันตกรรมประเภท:

  • ขูดหินปูน
  • อุดฟัน
  • ถอนฟัน
  • ผ่าฟันคุด

เงื่อนไขการใช้สิทธิ์ประกันสังคม:

  1. คลินิกหรือโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการ: คุณสามารถเข้ารับบริการได้ที่สถานพยาบาลหรือคลินิกทันตกรรมที่ทำสัญญาไว้กับสำนักงานประกันสังคม โดยแจ้งความประสงค์ขอใช้สิทธิ์ประกันสังคม
  2. ไม่ต้องสำรองจ่าย (ในวงเงินที่กำหนด): หากค่าบริการไม่เกิน 900 บาท คุณไม่ต้องสำรองจ่าย แต่หากเกินวงเงินที่กำหนด คุณจะต้องจ่ายส่วนต่างเพิ่มเอง
  3. เอกสารที่ต้องใช้: ส่วนใหญ่เพียงแค่ใช้บัตรประชาชนใบเดียวในการแสดงสิทธิ์
  4. ระยะเวลาการใช้สิทธิ์: สิทธิ์นี้จะได้รับปีละ 1 ครั้ง และจะเริ่มใหม่ในวันที่ 1 มกราคมของทุกปี

คำแนะนำ: ควรตรวจสอบกับคลินิกทันตกรรมที่คุณต้องการไปใช้บริการอีกครั้งว่ารองรับสิทธิ์ประกันสังคมหรือไม่ และมีขั้นตอนการใช้สิทธิ์อย่างไร เพราะบางคลินิกอาจไม่เข้าร่วมโครงการ หรืออาจมีเงื่อนไขเพิ่มเติม



ใช้สิทธิ์บัตรทอง (หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า) ได้ไหม?

ผู้มีสิทธิ์หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง 30 บาท) ก็สามารถใช้สิทธิ์ในการทำฟันได้เช่นกัน โดยมีบริการทางทันตกรรมพื้นฐานที่ครอบคลุม ซึ่งรวมถึงการ ขูดหินปูน ด้วย

เงื่อนไขการใช้สิทธิ์บัตรทอง:

  1. โรงพยาบาลหรือหน่วยบริการประจำ: ผู้มีสิทธิ์บัตรทองจะต้องไปรับบริการที่หน่วยบริการประจำของตนเองก่อน (ตามบัตรประชาชนหรือที่ลงทะเบียนไว้) หรือที่โรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
  2. ไม่เสียค่าใช้จ่าย (หรือตามเงื่อนไขที่กำหนด): บริการขูดหินปูนภายใต้สิทธิ์บัตรทองโดยทั่วไปจะไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แต่ควรสอบถามรายละเอียดกับโรงพยาบาลหรือคลินิกที่เข้าร่วมโครงการ
  3. เอกสารที่ต้องใช้: ใช้เพียงบัตรประชาชนในการแสดงสิทธิ์
  4. การส่งต่อ (Referral): ในบางกรณี หากหน่วยบริการประจำไม่สามารถให้บริการได้ อาจมีการส่งต่อไปยังหน่วยบริการอื่น

คำแนะนำ: ควรสอบถามรายละเอียดและขั้นตอนการใช้สิทธิ์จากโรงพยาบาล หรือศูนย์บริการสาธารณสุขที่คุณมีสิทธิ์บัตรทอง หรือสอบถามกับคลินิกทันตกรรมที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งทางเพ็ชราคลินิกไม่ได้ร่วมกับโครงการดังกล่าว เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องและไม่เกิดปัญหาในการใช้บริการ


การทำความเข้าใจเกี่ยวกับราคาและสิทธิ์ต่างๆ จะช่วยให้คุณวางแผนการดูแลสุขภาพช่องปากได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเข้ารับการ
ขูดหินปูน ได้อย่างสบายใจมากยิ่งขึ้น อย่าปล่อยให้เรื่องค่าใช้จ่ายเป็นอุปสรรคต่อการมีสุขภาพช่องปากที่ดี



10. ไม่ขูดหินปูนเป็นอะไรไหม? (ผลเสียระยะยาวที่คุณอาจคาดไม่ถึง)

หลายคนอาจคิดว่าการไม่ไป ขูดหินปูน แค่ทำให้ฟันดูไม่สะอาด หรือมีกลิ่นปากเล็กน้อย แต่ความจริงแล้ว การละเลยการกำจัดหินปูนเป็นเวลานาน สามารถนำไปสู่ปัญหาสุขภาพช่องปากที่รุนแรงและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของคุณได้ในระยะยาว ผลเสียบางอย่างอาจร้ายแรงจนคุณคาดไม่ถึงเลยทีเดียว


1. โรคเหงือกอักเสบ (Gingivitis)

นี่คือปัญหาเริ่มต้นที่พบได้บ่อยที่สุดเมื่อไม่ขูดหินปูน หินปูน ที่เกาะอยู่ตามแนวเหงือกและใต้เหงือกเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียจำนวนมหาศาล แบคทีเรียเหล่านี้จะปล่อยสารพิษออกมาทำลายเนื้อเยื่อเหงือก ทำให้เหงือกเกิดการอักเสบ มีอาการ เหงือกบวม แดง และมีเลือดออกง่าย ขณะแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟัน หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา โรคเหงือกอักเสบอาจพัฒนาไปสู่ปัญหาร้ายแรงกว่านั้น


2. โรคปริทันต์อักเสบ (Periodontitis) และการสูญเสียฟัน

หากโรคเหงือกอักเสบไม่ได้รับการรักษา แบคทีเรียและหินปูนจะลุกลามลงไปลึกกว่าเดิม ทำลายกระดูกและเนื้อเยื่อปริทันต์ที่ยึดฟันไว้กับกระดูกขากรรไกร ทำให้เกิดเป็น ร่องลึกปริทันต์ หนองอาจไหลออกมาจากเหงือก กระดูกรอบรากฟันถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้:

  • ฟันโยก: เมื่อกระดูกที่รองรับฟันถูกทำลาย ฟันจะไม่ได้รับการยึดเกาะที่มั่นคง ทำให้เกิดอาการ ฟันโยก
  • ฟันเคลื่อนที่: ในบางราย ฟันอาจเคลื่อนที่ออกจากตำแหน่งเดิม ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างฟัน หรือฟันยื่นออกมา
  • สูญเสียฟันในที่สุด: หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ฟันที่โยกจะหลุดออกมาเอง หรืออาจต้องถูกถอนทิ้งในที่สุด ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการสูญเสียฟันในผู้ใหญ่


3. ฟันผุ (Dental Caries)

แม้ว่าหินปูนจะไม่ได้เป็นสาเหตุโดยตรงของฟันผุ แต่คราบจุลินทรีย์ที่ปกคลุมอยู่บนหินปูนก็เป็นแหล่งอาศัยของแบคทีเรียที่ผลิตกรด กรดเหล่านี้จะกัดกร่อน ผิวเคลือบฟัน ทำให้เกิดรูพรุนและนำไปสู่ปัญหา ฟันผุ ได้ง่ายขึ้น ยิ่งมีหินปูนมากเท่าไหร่ การทำความสะอาดก็จะยิ่งยากขึ้น ทำให้ฟันผุได้ง่ายตามไปด้วย


4. กลิ่นปากเรื้อรังและปัญหาทางสังคม

หินปูน เป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดกลิ่น แบคทีเรียเหล่านี้จะย่อยสลายเศษอาหารและเซลล์ที่ตายแล้วในช่องปาก ปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ที่มีกลิ่นเหม็นออกมา ทำให้เกิด กลิ่นปาก (Halitosis) อย่างรุนแรงและเรื้อรัง ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการแปรงฟันหรือบ้วนปากเพียงอย่างเดียว ปัญหากลิ่นปากนี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อความมั่นใจในการเข้าสังคม การพูดคุย หรือแม้แต่ความสัมพันธ์ส่วนตัว


5. ปัญหาด้านความสวยงาม

การสะสมของหินปูน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคราบสีดำ สีเหลือง หรือสีน้ำตาลที่เกิดจากหินปูนและคราบอาหาร จะทำให้รอยยิ้มของคุณดูหมองคล้ำ ไม่สดใส และส่งผลต่อบุคลิกภาพและความมั่นใจในตัวเองอย่างมาก


6. ส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวม

ผลวิจัยหลายชิ้นบ่งชี้ว่า ปัญหาในช่องปาก เช่น โรคปริทันต์อักเสบที่เกิดจากการสะสมของหินปูน อาจมีความเชื่อมโยงกับปัญหาสุขภาพร้ายแรงอื่นๆ ในร่างกาย เช่น:

  • โรคหัวใจและหลอดเลือด: แบคทีเรียจากการอักเสบในช่องปากสามารถเข้าสู่กระแสเลือดและอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจขาดเลือดและโรคหลอดเลือดสมอง
  • โรคเบาหวาน: โรคเหงือกอักเสบและปริทันต์อักเสบอาจทำให้การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานทำได้ยากขึ้น
  • ปัญหาสุขภาพอื่นๆ: ยังมีงานวิจัยที่เชื่อมโยงโรคในช่องปากกับการเกิดภาวะแทรกซ้อนในการตั้งครรภ์ และโรคระบบทางเดินหายใจบางชนิด



ขูดหินปูนไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นหัวใจสำคัญของสุขภาพช่องปากที่ดี!

จากการที่เราได้เจาะลึก 10 สิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับการ ขูดหินปูน จะเห็นได้ว่าการทำความสะอาดช่องปากอย่างล้ำลึกโดยทันตแพทย์นั้นไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงามเท่านั้น แต่ยังเป็น หัวใจสำคัญ ในการป้องกันปัญหาสุขภาพช่องปากมากมายที่อาจลุกลามและส่งผลเสียในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็น:

  • โรคเหงือกอักเสบ ที่ทำให้เหงือกบวมแดง มีเลือดออกง่าย
  • โรคปริทันต์อักเสบ ที่อาจทำให้กระดูกรอบฟันถูกทำลาย จนนำไปสู่ ฟันโยก และ สูญเสียฟัน ในที่สุด
  • ปัญหากลิ่นปากเรื้อรัง ที่บั่นทอนความมั่นใจ
  • ความเสี่ยงต่อ ฟันผุ และปัญหาอื่นๆ อีกมากมาย


การหมั่นสังเกตสัญญาณเตือนต่างๆ เช่น เลือดออกขณะแปรงฟัน, มีกลิ่นปาก, หรือเห็นคราบเหลือง/ดำที่ฟัน และเข้ารับการขูดหินปูนอย่างน้อย ทุก 6 เดือน จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม นอกจากนี้ การทำความเข้าใจขั้นตอนการรักษา การเตรียมตัว รวมถึงการดูแลตัวเองหลังขูดหินปูน ก็จะช่วยให้คุณคลายความกังวลและรู้สึกสบายใจมากยิ่งขึ้น


ให้เพ็ชราคลินิกดูแลรอยยิ้มของคุณ


ที่ เพ็ชราคลินิก เราเข้าใจถึงความกังวลและความต้องการของทุกท่าน เราพร้อมให้บริการ ขูดหินปูน และบริการทันตกรรมอื่นๆ โดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พร้อมเครื่องมือที่ทันสมัย และให้การดูแลด้วยความใส่ใจ เพื่อให้คุณมั่นใจว่าทุกขั้นตอนการรักษาจะสะอาด ปลอดภัย และคุณจะได้รับคำแนะนำที่เป็นประโยชน์สูงสุดในการดูแลสุขภาพช่องปากของคุณกลับไป

ไม่ว่าคุณจะกำลังมองหาคลินิกที่รับสิทธิ์ ประกันสังคม สำหรับการขูดหินปูน หรือเพียงต้องการคำปรึกษาเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากของคุณ เพ็ชราคลินิก ยินดีต้อนรับเสมอ


อย่ารอให้ปัญหาใหญ่เกิดขึ้น! มาเริ่มต้นดูแลสุขภาพช่องปากที่ดีของคุณกับ เพ็ชราคลินิก วันนี้ เพื่อรอยยิ้มที่สดใสและสุขภาพดีอย่างยั่งยืน ติดต่อเราเพื่อนัดหมายทันตแพทย์ได้เลย


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

 โทร. 094-741-9369


 เวลาเปิด-ปิด วันจันทร์-เสาร์ เวลา 09.00-19.00 น.
พิกัด: 
https://goo.gl/maps/qUCfWj9PNAhcPuyr8

ปรึกษาทันตแพทย์

บทความอื่นๆ

ฟอกฟันขาว ราคาเท่าไหร่? คุ้มค่าไหมกับการลงทุนเพื่อรอยยิ้มสดใส!
July 14, 2025
บทความนี้จะเจาะลึกเรื่องราคาของการฟอกฟันขาวแต่ละประเภท พร้อมปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าใช้จ่าย เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ
ฟอกสีฟันแล้วเสียวฟัน รับมืออย่างไร ทำไมถึงเสียวฟันหลังฟอกสีฟัน
By PetcharaDentalClinic July 11, 2025
การฟอกสีฟัน กลายเป็นหนึ่งในบริการทันตกรรมที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ปัญหาหนึ่งที่มักจะมาพร้อมกับการฟอกสีฟันกับหลายคนคือ อาการเสียวฟัน
ฟอกสีฟันหลังจัดฟัน: เคล็ดลับเพื่อรอยยิ้มขาวกระจ่างใสอย่างสมบูรณ์แบบ
By PetcharaDentalClinic July 9, 2025
เมื่อจัดฟันเสร็จแล้วพบว่าสีฟันดูไม่ขาวใสเนื่องจากคราบสะสมในระหว่างการจัดฟัน บทความนี้จะเจาะลึกทุกเรื่องที่คุณควรรู้เกี่ยวกับการฟอกสีฟันหลังจากถอดเครื่องมือจัดฟัน