รากฟันเทียม: ทางเลือกใหม่เพื่อฟันที่หายไป คืนรอยยิ้มและการเคี้ยวอาหาร
รากฟันเทียม: ทางเลือกใหม่เพื่อฟันที่หายไป คืนรอยยิ้มและการเคี้ยวอาหาร

รากฟันเทียม: ทางเลือกใหม่เพื่อฟันที่หายไป คืนรอยยิ้มและการเคี้ยวอาหาร
การสูญเสียฟันเป็นปัญหาใหญ่ที่หลายคนต้องเจอ ไม่ว่าจะเกิดจากอุบัติเหตุ ฟันผุ หรือโรคเหงือก ซึ่งส่งผลกระทบมากกว่าที่คิด ไม่ใช่แค่เรื่องการกิน แต่ยังกระทบถึงการพูดจา และที่สำคัญคือความมั่นใจในรอยยิ้ม ทำให้ รากฟันเทียม (Dental Implant) กลายเป็นทางออกที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะสามารถทดแทนฟันที่เสียไปได้อย่างเป็นธรรมชาติที่สุด ทั้งในเรื่องความสวยงามและการใช้งาน
ทำไมต้องใส่รากฟันเทียม? ผลกระทบจากการสูญเสียฟันและข้อดีของรากฟันเทียม
เมื่อฟันหายไป ไม่ใช่แค่ช่องว่างที่เกิดขึ้น แต่ยังตามมาด้วยปัญหามากมายที่คุณอาจไม่เคยรู้:
- ฟันล้มและเคลื่อนตัว: ฟันที่อยู่ข้างเคียงจะค่อยๆ ล้มเอียงเข้าหาช่องว่าง ทำให้ฟันทั้งปากไม่สบกันตามปกติ
- กระดูกขากรรไกรละลาย: เมื่อไม่มีรากฟัน กระดูกบริเวณนั้นจะไม่ได้รับการกระตุ้น ทำให้กระดูกยุบตัวลง ใบหน้าดูแก่กว่าวัย
- การบดเคี้ยวไม่มีประสิทธิภาพ: การกินอาหารยากขึ้น ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานหนัก และอาจทำให้เลือกกินอาหารได้ไม่หลากหลาย ส่งผลต่อสุขภาพโดยรวม
- บุคลิกภาพและความมั่นใจ: การมีช่องว่างของฟันทำให้ไม่กล้ายิ้ม ไม่กล้าพูดคุย อาจส่งผลต่อหน้าที่การงานและความสัมพันธ์ส่วนตัว
รากฟันเทียม จึงเป็นทางเลือกที่เหนือกว่าการใส่ฟันปลอมแบบถอดได้ หรือสะพานฟันแบบเดิมๆ ด้วยข้อดีเหล่านี้:
- ใกล้เคียงฟันธรรมชาติมากที่สุด: ทั้งรูปลักษณ์ การใช้งาน และความรู้สึก
- ไม่ต้องกรอฟันซี่ข้างเคียง: ต่างจากสะพานฟันที่ต้องกรอฟันซี่ข้างๆ เพื่อใช้เป็นหลักยึด
- ช่วยรักษากระดูกขากรรไกร: รากฟันเทียมทำหน้าที่เหมือนรากฟันธรรมชาติ ช่วยกระตุ้นกระดูกไม่ให้ละลาย
- ความทนทานสูง: หากดูแลรักษาดี รากฟันเทียมสามารถใช้งานได้ยาวนานตลอดชีวิต
- ไม่สร้างความรำคาญ: ไม่ต้องถอดเข้าถอดออกเหมือนฟันปลอม ทำให้รู้สึกสบายและมั่นใจมากขึ้น
รากฟันเทียมคืออะไร? ส่วนประกอบสำคัญและวัสดุที่ใช้
รากฟันเทียม คือรากฟันเทียมที่ทำจากโลหะผสมไทเทเนียม ซึ่งเป็นวัสดุที่เข้ากันได้ดีกับร่างกายมนุษย์ ไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาแพ้ โดยมีส่วนประกอบหลัก 3 ส่วน ได้แก่
- รากเทียม (Implant fixture): ส่วนที่ฝังอยู่ในกระดูกขากรรไกร ทำหน้าที่เป็นรากฟันเทียม มีลักษณะคล้ายสกรู
- หลักยึด (Abutment): ส่วนที่เชื่อมต่อระหว่างรากเทียมกับครอบฟัน
- ครอบฟัน (Crown): ส่วนที่ทำหน้าที่เป็นตัวฟันที่เรามองเห็น ทำจากวัสดุเซรามิกที่มีสีและรูปร่างคล้ายฟันธรรมชาติ
วัสดุที่ใช้ทำรากฟันเทียมหลักๆ คือ ไทเทเนียม (Titanium) ซึ่งเป็นโลหะที่เข้ากับเนื้อเยื่อกระดูกได้อย่างดีเยี่ยม (Biocompatible) ทำให้รากฟันเทียมสามารถยึดติดกับกระดูกขากรรไกรได้อย่างมั่นคง
ประเภทของรากฟันเทียม: ตอบโจทย์ทุกความต้องการ
ทันตแพทย์จะพิจารณาประเภทของรากฟันเทียมให้เหมาะสมกับจำนวนฟันที่หายไปและสภาพช่องปากของคุณ:
- รากฟันเทียมซี่เดียว (Single Tooth Implant): ใช้เมื่อสูญเสียฟันเพียงซี่เดียว
- รากฟันเทียมสำหรับหลายซี่/ทั้งปาก (Implant-Supported Bridge/Denture):
- All-on-4: ใช้รากฟันเทียม 4 ซี่ เพื่อรองรับฟันปลอมทั้งแผงในขากรรไกรบนหรือล่าง
- All-on-6: คล้ายกับ All-on-4 แต่ใช้รากฟันเทียม 6 ซี่ เพื่อความมั่นคงที่มากขึ้น
- เหมาะสำหรับผู้ที่สูญเสียฟันเกือบทั้งหมดหรือทั้งหมด และต้องการฟันปลอมแบบติดแน่น
ขั้นตอนการทำรากฟันเทียม: จากการวินิจฉัยสู่รอยยิ้มใหม่
การทำรากฟันเทียมเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความละเอียดอ่อนและวางแผนอย่างรอบคอบ โดยมีขั้นตอนหลักๆ ดังนี้:
1.การวินิจฉัยและวางแผน:
- ทันตแพทย์จะทำการตรวจสุขภาพช่องปากโดยละเอียด รวมถึงถ่ายภาพรังสี X-ray และ CT Scan เพื่อประเมินปริมาณและคุณภาพของกระดูกขากรรไกร รวมถึงตำแหน่งของเส้นประสาทและโพรงไซนัส เพื่อวางแผนการผ่าตัดอย่างแม่นยำ
- อาจมีการทำพิมพ์ปากเพื่อจำลองการสบฟัน
2.การผ่าตัดฝังรากเทียม:
- เป็นการผ่าตัดเล็กๆ ภายใต้การฉีดยาชาเฉพาะที่ หรืออาจมีการให้ยาคลายกังวลในบางกรณี
- ทันตแพทย์จะทำการเจาะช่องเล็กๆ ในกระดูกขากรรไกร และฝังรากเทียมลงไป
- หลังจากนั้นจะทำการเย็บปิดเหงือก
3.การพักฟื้นและรอการยึดติดของกระดูก (Osseointegration):
- เป็นช่วงเวลาสำคัญที่รากเทียมจะค่อยๆ เชื่อมรวมเป็นส่วนหนึ่งกับกระดูกขากรรไกร (Osseointegration) ซึ่งอาจใช้เวลา 3-6 เดือน ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลและตำแหน่งของรากฟันเทียม
- ในระหว่างนี้ อาจมีการใส่ฟันปลอมชั่วคราวเพื่อความสวยงามและการใช้งาน
4.การใส่หลักยึดและครอบฟัน:
- เมื่อรากเทียมยึดติดกับกระดูกอย่างสมบูรณ์แล้ว ทันตแพทย์จะทำการเปิดเหงือกเพื่อใส่ หลักยึด (Abutment)
- หลังจากนั้นจะทำการพิมพ์ปากเพื่อสร้าง ครอบฟัน (Crown) ที่มีสีและรูปร่างเหมือนฟันธรรมชาติของคุณ
- ทันตแพทย์จะทำการยึดครอบฟันเข้ากับหลักยึด และตรวจสอบการสบฟันให้เป็นปกติ
การดูแลรากฟันเทียม: เพื่อการใช้งานที่ยาวนาน
หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าเมื่อใส่ รากฟันเทียม แล้ว จะหมดปัญหาเรื่องฟันไปได้เลย เพราะรากฟันเทียมนั้นไม่มีวันผุ ทว่าความจริงแล้ว รากฟันเทียมก็ต้องการการดูแลเอาใจใส่ไม่ต่างจากฟันธรรมชาติของเราเลยครับ การละเลยสุขอนามัยช่องปากที่ดีอาจนำไปสู่ปัญหาที่เรียกว่า โรคปริทันต์อักเสบรอบรากเทียม (Peri-implantitis) ซึ่งคล้ายกับโรคเหงือกอักเสบและโรคปริทันต์ในฟันธรรมชาติ หากปล่อยทิ้งไว้ อาจทำให้กระดูกรอบๆ รากเทียมละลาย และสุดท้ายรากเทียมอาจหลวมและล้มเหลวได้
ดังนั้น การดูแลรากฟันเทียมอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้รากฟันเทียมของคุณใช้งานได้ยาวนานและคงความสวยงามคู่กับรอยยิ้มของคุณไปอีกนาน
1. การแปรงฟันอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอ
การแปรงฟันเป็นพื้นฐานของการดูแลสุขภาพช่องปากที่ดี และเป็นสิ่งแรกที่คุณต้องทำเพื่อดูแลรากฟันเทียมของคุณ
- แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง: แปรงฟันให้ทั่วถึงทั้งฟันธรรมชาติและบริเวณรากฟันเทียม โดยเฉพาะหลังมื้ออาหาร
- ใช้แปรงสีฟันขนนุ่ม: เลือกแปรงสีฟันที่มีขนแปรงนุ่มพิเศษ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการระคายเคืองต่อเหงือกและเนื้อเยื่อรอบรากเทียม แปรงเบาๆ อย่างพิถีพิถัน เน้นบริเวณรอยต่อระหว่างรากฟันเทียมกับเหงือก
- แปรงฟันให้ถูกวิธี: แปรงเป็นวงกลมเล็กๆ หรือแปรงจากเหงือกมาทางปลายฟัน ไม่ควรแปรงในแนวนอนหรือใช้แรงกดมากเกินไป เพราะอาจทำให้เหงือกร่นได้
2. การใช้ไหมขัดฟันและอุปกรณ์เสริมทำความสะอาด
นอกจากการแปรงฟันแล้ว การใช้ไหมขัดฟันและอุปกรณ์เสริมอื่นๆ ก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการกำจัดเศษอาหารและคราบจุลินทรีย์ที่แปรงสีฟันเข้าไม่ถึง โดยเฉพาะบริเวณใต้รากฟันเทียมและซอกฟัน
- ไหมขัดฟันสำหรับรากฟันเทียม (Superfloss): ไหมขัดฟันชนิดนี้จะมีความหนาและส่วนปลายแข็งเล็กน้อย ทำให้สอดเข้าไปใต้รากฟันเทียมและทำความสะอาดรอบๆ ได้ง่ายขึ้น ควรใช้ไหมขัดฟันทำความสะอาดทุกวัน
- แปรงซอกฟัน (Interdental Brush): มีหลายขนาดให้เลือกตามขนาดช่องว่างระหว่างฟันและรากฟันเทียม แปรงซอกฟันช่วยทำความสะอาดได้อย่างมีประสิทธิภาพในบริเวณที่แปรงสีฟันเข้าไม่ถึง
- เครื่องฉีดน้ำทำความสะอาดฟัน (Water Flosser/Oral Irrigator): เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีในการทำความสะอาดเศษอาหารและคราบจุลินทรีย์บริเวณซอกฟันและใต้รากฟันเทียม โดยเฉพาะในผู้ที่ใช้รากฟันเทียมหลายซี่ หรือมีปัญหาในการใช้ไหมขัดฟัน
3. พบทันตแพทย์เพื่อตรวจเช็กสุขภาพช่องปากเป็นประจำ
การตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำโดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดูแลรากฟันเทียมในระยะยาว
- นัดพบทันตแพทย์อย่างน้อยทุก 6 เดือน: หรือตามที่ทันตแพทย์แนะนำ เพื่อให้ทันตแพทย์ได้ตรวจประเมินสภาพของรากฟันเทียม เหงือก และกระดูกโดยรอบ หากพบความผิดปกติ เช่น เหงือกอักเสบเล็กน้อย ทันตแพทย์จะสามารถแก้ไขได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ก่อนที่จะลุกลาม
- ขูดหินปูนและขัดฟัน: ทันตแพทย์จะทำการขูดหินปูนและขัดฟันให้สะอาดอย่างทั่วถึง โดยใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมสำหรับรากฟันเทียม เพื่อป้องกันการสะสมของคราบจุลินทรีย์และหินปูน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคปริทันต์อักเสบรอบรากเทียม
การดูแลรากฟันเทียมที่ดีไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิด เพียงแค่ใส่ใจในสุขอนามัยช่องปากเป็นประจำ และไม่ละเลยการไปพบทันตแพทย์ตามนัดหมาย ก็จะช่วยให้รากฟันเทียมของคุณอยู่คู่กับรอยยิ้มที่สดใสไปได้อีกนานแสนนานครับ หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูแลรากฟันเทียม หรือรู้สึกว่ามีอาการผิดปกติใดๆ ควรปรึกษาทันตแพทย์ทันที
ใครเหมาะสมกับรากฟันเทียม?
ผู้ที่เหมาะสมกับการทำรากฟันเทียมควรมี:
- สุขภาพช่องปากที่ดี: ไม่มีโรคเหงือกหรือฟันผุรุนแรง
- ปริมาณกระดูกขากรรไกรเพียงพอ: หากกระดูกไม่เพียงพอ อาจจำเป็นต้องมีการปลูกกระดูกเพิ่ม
- สุขภาพร่างกายโดยรวมแข็งแรง: ไม่มีโรคประจำตัวที่ส่งผลต่อการหายของแผลหรือภูมิคุ้มกัน เช่น เบาหวานที่ไม่ควบคุมอย่างดี โรคหัวใจ หรือภาวะที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด
- ไม่สูบบุหรี่จัด: การสูบบุหรี่ลดโอกาสสำเร็จของการปลูกรากฟันเทียมลงอย่างมาก
อ่านเพิ่มเติมบทความ --รากฟันเทียมมีกี่ยี่ห้อ? เลือกแบรนด์รากฟันเทียมที่เหมาะสมกับคุณ
ค่าใช้จ่ายและระยะเวลาในการรักษา: สิ่งที่คุณควรรู้
ค่าใช้จ่ายในการทำรากฟันเทียม ค่อนข้างหลากหลายและขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น:
- จำนวนรากฟันเทียมที่ฝัง: ยิ่งหลายซี่ ยิ่งมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น
- ชนิดของรากฟันเทียม: รากฟันเทียมแต่ละยี่ห้อมีราคาแตกต่างกัน
- วัสดุที่ใช้ทำครอบฟัน: เช่น เซรามิกล้วน หรือเซรามิกผสมโลหะ
- ความซับซ้อนของเคส: เช่น มีความจำเป็นต้องปลูกกระดูก หรือยกไซนัสเพิ่มหรือไม่
- ค่าใช้จ่ายของคลินิกทันตกรรมแต่ละแห่ง: ราคาอาจแตกต่างกันไปตามคุณภาพและชื่อเสียงของคลินิก
โดยทั่วไป ราคาทำรากฟันเทียมหนึ่งซี่ โดยมีหลายยี่ห้อที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย ได้แก่ Straumann, Astra Tech และ Osstem ซึ่งแต่ละยี่ห้อมีคุณสมบัติและราคาที่แตกต่างกัน ดังนี้:
1. รากฟันเทียม Straumann
- ประเทศผู้ผลิต: สวิตเซอร์แลนด์
- จุดเด่น: วัสดุ Roxolid ที่ผสมผสานระหว่างไทเทเนียมและเซอร์โคเนียม ทำให้มีความแข็งแรงสูง และพื้นผิว SLActive ที่ช่วยให้การยึดติดกับกระดูกได้รวดเร็ว
- ราคา: ประมาณ 65,000 - 75,000 บาทต่อซี่
2. รากฟันเทียม Astra Tech
- ประเทศผู้ผลิต: สวีเดน
- จุดเด่น: ผิวรากฟันเทียม OsseoSpeed ที่ช่วยเพิ่มการยึดติดของกระดูกกับรากฟันเทียม และมีผลลัพธ์ทางคลินิกที่ดีในระยะยาว
- ราคา: ประมาณ 55,000 - 65,000 บาทต่อซี่
3. รากฟันเทียม Osstem
- ประเทศผู้ผลิต: เกาหลีใต้
- จุดเด่น: คุณภาพมาตรฐานสากล ราคาคุ้มค่า และได้รับความนิยมในประเทศไทย
- ราคา: ประมาณ 35,000 - 45,000 บาทต่อซี่
อ่านบทความเพิ่มเติม --
รากฟันเทียม Straumann
ระยะเวลาในการรักษา โดยรวมแล้วอาจใช้เวลาตั้งแต่ 3 เดือนไปจนถึง 9 เดือน หรือมากกว่า ขึ้นอยู่กับ:
- ระยะเวลาการยึดติดของกระดูก: ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
- ความจำเป็นในการปลูกกระดูก: หากมีการปลูกกระดูกเพิ่ม จะต้องใช้เวลารอการยึดติดของกระดูกนานขึ้น
- จำนวนรากฟันเทียมที่ทำ: หากทำหลายซี่หรือทั้งปาก อาจใช้เวลาวางแผนและรักษาที่ยาวนานขึ้น
การปรึกษาทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้คุณได้รับข้อมูลที่ละเอียดและแม่นยำที่สุดเกี่ยวกับแผนการรักษาและค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมกับกรณีของคุณ
การมีฟันครบสมบูรณ์เป็นสิ่งสำคัญต่อคุณภาพชีวิต การเลือก รากฟันเทียม เป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพช่องปากและรอยยิ้มที่มั่นใจไปอีกนานแสนนาน หากคุณกำลังเผชิญปัญหาฟันหาย อย่าลังเลที่จะปรึกษาทันตแพทย์เพื่อค้นหาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับคุณ
คืนรอยยิ้มและคุณภาพชีวิตที่ดี ที่เพ็ชราคลินิก
ที่ เพ็ชราคลินิก เราเข้าใจดีถึงความสำคัญของการมีสุขภาพช่องปากที่ดีและรอยยิ้มที่มั่นใจ ด้วยทีมทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านรากฟันเทียมโดยเฉพาะ พร้อมด้วยเทคโนโลยีและเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัย เรามุ่งมั่นให้บริการดูแลรากฟันเทียมแบบครบวงจร ตั้งแต่การวินิจฉัย วางแผนการรักษา ไปจนถึงการผ่าตัดฝังรากเทียม และการดูแลหลังการรักษา เพื่อให้คุณได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีอีกครั้ง
เพ็ชราคลินิก พร้อมให้คำปรึกษาและออกแบบแผนการรักษารากฟันเทียมที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล โดยคำนึงถึงความต้องการ งบประมาณ และสภาพช่องปากของคุณเป็นสำคัญ ให้เราเป็นส่วนหนึ่งในการเนรมิตรอยยิ้มใหม่ที่สมบูรณ์แบบให้กับคุณ
หากคุณกำลังมองหาทางออกสำหรับฟันที่หายไป หรือต้องการปรึกษาเกี่ยวกับการทำรากฟันเทียม ไม่ต้องลังเลที่จะติดต่อ เพ็ชราคลินิก เพื่อนัดหมายเข้ารับการตรวจและปรึกษาเบื้องต้นได้แล้ววันนี้.
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
โทร. 094-741-9369
เวลาเปิด-ปิด วันจันทร์-เสาร์ เวลา 09.00-19.00 น.
พิกัด: https://goo.gl/maps/qUCfWj9PNAhcPuyr8