ดูแลรากฟันเทียมอย่างไรให้อยู่ได้นาน คู่มือฉบับสมบูรณ์เพื่อรอยยิ้มที่ยั่งยืน
ดูแลรากฟันเทียมอย่างไรให้อยู่ได้นาน? คู่มือฉบับสมบูรณ์เพื่อรอยยิ้มที่ยั่งยืน

การตัดสินใจปลูกรากฟันเทียมเป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพช่องปากในระยะยาวที่คุ้มค่า เพราะนอกจากจะช่วยให้คุณกลับมาเคี้ยวอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังช่วยคืนความมั่นใจให้กับรอยยิ้มของคุณอีกครั้ง แต่การจะรักษาสิ่งที่ลงทุนไปให้อยู่กับเราไปได้นานหลายสิบปีหรือตลอดชีวิตนั้น ไม่ใช่เรื่องยากเลย เพียงแค่ต้องรู้จักวิธีการดูแลที่ถูกต้อง บทความนี้จะนำคุณไปสู่การดูแลรากฟันเทียมอย่างถูกวิธี ตั้งแต่การทำความสะอาดไปจนถึงพฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง เพื่อให้รากฟันเทียมของคุณคงทนและแข็งแรงไปนานๆ
ทำไมต้องดูแลรากฟันเทียม? เข้าใจก่อนตัดสินใจ
หลายคนอาจคิดว่า รากฟันเทียม ซึ่งทำจากไทเทเนียมและเซรามิก เป็นวัสดุที่แข็งแรงทนทานและไม่จำเป็นต้องดูแลมากนัก เพราะไม่มีวันผุเหมือนฟันธรรมชาติ แต่ความจริงแล้วเป็นความเข้าใจที่ผิดครับ การดูแลรากฟันเทียมนั้นสำคัญไม่แพ้การดูแลฟันจริงเลย และนี่คือเหตุผลหลักๆ ที่คุณควรทำความเข้าใจก่อนตัดสินใจปลูกรากฟันเทียม
1. ป้องกันโรคปริทันต์อักเสบ (Peri-implantitis)
นี่คือสาเหตุอันดับหนึ่งที่ทำให้รากฟันเทียมล้มเหลว โรคนี้คือการอักเสบที่เกิดขึ้นรอบๆ รากฟันเทียม ซึ่งมีสาเหตุมาจากการสะสมของ คราบแบคทีเรีย และ หินปูน ที่คุณทำความสะอาดไม่ทั่วถึง หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา เนื้อเยื่อรอบรากฟันเทียมจะค่อยๆ ถูกทำลาย และกระดูกที่ยึดรากฟันเทียมก็จะสลายไปในที่สุด ทำให้รากฟันเทียมหลุดออกมาได้
2. รักษาเหงือกและกระดูกให้แข็งแรง
การดูแลรักษาความสะอาดอย่างถูกวิธีไม่เพียงแค่ป้องกันการอักเสบ แต่ยังช่วยรักษาสภาพของเหงือกและกระดูกรอบๆ รากฟันเทียมให้แข็งแรง ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดสำหรับอายุการใช้งานที่ยาวนานของรากฟันเทียม หากเหงือกและกระดูกดี รากฟันเทียมก็จะมั่นคงเหมือนฟันธรรมชาติ
3. เพื่อให้รากฟันเทียมอยู่ได้นานหลายสิบปี
แม้ว่ารากฟันเทียมจะมีราคาค่อนข้างสูง แต่หากคุณดูแลอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอ รากฟันเทียมสามารถอยู่กับคุณไปได้ตลอดชีวิต แต่ในทางกลับกัน หากขาดการดูแลที่เหมาะสม อายุการใช้งานของรากฟันเทียมก็อาจสั้นลงกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งนั่นหมายถึงค่าใช้จ่ายในการแก้ไขหรือปลูกใหม่ในอนาคต
4. ป้องกันปัญหาที่อาจลามไปสู่ฟันซี่อื่นๆ
คราบแบคทีเรียที่สะสมบริเวณรากฟันเทียมไม่เพียงส่งผลกระทบต่อรากฟันเทียมเท่านั้น แต่ยังสามารถลามไปทำให้เกิด โรคเหงือกอักเสบ หรือ ฟันผุ ในฟันซี่อื่นๆ ที่อยู่ข้างเคียงได้อีกด้วย
การดูแลรากฟันเทียมจึงไม่ใช่แค่การดูแลสิ่งที่ปลูกเข้าไปใหม่ แต่คือการดูแลสุขภาพช่องปากโดยรวมทั้งหมด เพื่อให้มั่นใจว่ารอยยิ้มของคุณจะสวยงามและแข็งแรงได้อย่างยั่งยืน
คู่มือการดูแลรากฟันเทียมอย่างละเอียด
การดูแลรากฟันเทียมให้ถูกวิธีเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยยืดอายุการใช้งานให้ยาวนาน บทความนี้ได้รวบรวมรายละเอียดทั้งหมดที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับการทำความสะอาดและการดูแลรักษา เพื่อให้รากฟันเทียมของคุณแข็งแรงและคงทนเหมือนฟันธรรมชาติ
1. การทำความสะอาดประจำวัน: หัวใจสำคัญของการดูแล
1. การแปรงฟันอย่างถูกวิธีและอ่อนโยน
การเลือกใช้แปรงสีฟันและเทคนิคการแปรงที่เหมาะสมจะช่วยให้การทำความสะอาดมีประสิทธิภาพมากขึ้น และไม่ทำร้ายเหงือกที่บอบบาง
- ใช้แปรงสีฟันขนนุ่ม: เพื่อทำความสะอาดอย่างอ่อนโยนต่อเหงือกและผิวเคลือบของครอบฟัน หลีกเลี่ยงแปรงสีฟันขนแข็งที่อาจทำให้เหงือกร่นหรือเกิดรอยขีดข่วนบนครอบฟันได้
- แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง: ควรแปรงฟันตอนเช้าหลังตื่นนอนและก่อนเข้านอน โดยใช้เวลาแปรงแต่ละครั้งไม่ต่ำกว่า 2 นาที
- เน้นบริเวณรอยต่อระหว่างครอบฟันกับเหงือก: จุดนี้เป็นจุดที่คราบแบคทีเรียสะสมได้ง่ายที่สุด ควรแปรงโดยวางแปรงสีฟันทำมุม 45 องศา และแปรงเป็นวงกลมเบาๆ เพื่อให้ขนแปรงเข้าไปทำความสะอาดบริเวณร่องเหงือกได้อย่างทั่วถึง
2. ใช้ไหมขัดฟันและอุปกรณ์เสริมเพื่อการทำความสะอาดที่ล้ำลึก
การแปรงฟันอย่างเดียวไม่สามารถทำความสะอาดคราบแบคทีเรียและเศษอาหารที่ติดอยู่ตามซอกฟันได้หมดจด คุณจึงควรใช้อุปกรณ์เสริมเหล่านี้ควบคู่ไปด้วย
- ไหมขัดฟัน (Dental Floss): ใช้ไหมขัดฟันทำความสะอาดซอกฟันทุกวัน โดยเฉพาะบริเวณข้างรากฟันเทียม เพื่อขจัดเศษอาหารและคราบจุลินทรีย์ที่แปรงสีฟันเข้าไม่ถึง
- แปรงซอกฟัน (Interdental Brush): เป็นแปรงขนาดเล็กที่มีประสิทธิภาพสูงในการทำความสะอาดซอกฟันที่กว้าง หรือบริเวณใต้สะพานฟันที่ติดกับรากฟันเทียม ทันตแพทย์จะช่วยแนะนำขนาดแปรงที่เหมาะสมกับช่องว่างระหว่างฟันของคุณ
- เครื่องทำความสะอาดฟันด้วยน้ำ (Water Flosser): หรือที่เรียกว่าเครื่องฉีดน้ำทำความสะอาดฟัน เป็นอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงในการทำความสะอาดซอกฟันและรอบๆ รากฟันเทียมด้วยแรงดันน้ำ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสะอาดที่ล้ำลึก หรือผู้ที่ไม่ถนัดการใช้ไหมขัดฟันทั่วไป
การแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันการสะสมของคราบแบคทีเรีย ซึ่งเป็นต้นเหตุของปัญหาเหงือกอักเสบ
2. การเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปาก
การเลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดช่องปากที่เหมาะสมเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้รากฟันเทียมของคุณคงสภาพดีและมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน เพราะผลิตภัณฑ์บางชนิดอาจส่งผลเสียต่อวัสดุครอบฟันหรือทำให้เหงือกเกิดการระคายเคืองได้
1. ยาสีฟัน: เลือกที่อ่อนโยนและปกป้องฟัน
สำหรับผู้ที่มีรากฟันเทียม คุณสามารถใช้ยาสีฟันได้ตามปกติ แต่ควรให้ความสำคัญกับส่วนประกอบบางอย่างเพื่อยืดอายุการใช้งานของครอบฟัน
- เน้นยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์: การใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์จะช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับฟันธรรมชาติซี่อื่นๆ และป้องกันฟันผุได้ดี
- หลีกเลี่ยงยาสีฟันที่มีสารขัดฟันรุนแรง (Abrasive): ยาสีฟันบางชนิดที่มีเนื้อหยาบหรือมีสารขัดฟันเข้มข้นสูง (เช่น ยาสีฟันสำหรับฟอกสีฟัน) อาจทำให้ผิวเคลือบของครอบฟันที่เป็นเซรามิกเกิดรอยขีดข่วนหรือสึกกร่อนได้ง่าย ซึ่งจะทำให้คราบต่างๆ เกาะติดได้ง่ายขึ้นในอนาคต
2. น้ำยาบ้วนปาก: เลือกชนิดที่ไม่มีแอลกอฮอล์
น้ำยาบ้วนปากเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยเสริมที่ทำให้ช่องปากสะอาดและสดชื่น แต่การเลือกชนิดที่เหมาะสมกับผู้ที่ใส่รากฟันเทียมนั้นสำคัญมาก
- เลือกใช้น้ำยาบ้วนปากที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์: แอลกอฮอล์ในน้ำยาบ้วนปากบางชนิดอาจทำให้ช่องปากแห้งและระคายเคืองต่อเหงือกได้ ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพเหงือกในระยะยาว
- ใช้เพื่อเสริมการทำความสะอาดเท่านั้น: ควรจำไว้ว่าน้ำยาบ้วนปากเป็นเพียงตัวช่วยเสริมเท่านั้น ไม่สามารถทดแทนการแปรงฟันและการใช้ไหมขัดฟันได้ ควรใช้หลังจากแปรงฟันเสร็จแล้วเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
การใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม จะช่วยให้คุณดูแลรากฟันเทียมได้อย่างมีประสิทธิภาพและมั่นใจในรอยยิ้มได้ยาวนานขึ้น
3. พฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง
แม้รากฟันเทียมจะถูกออกแบบมาให้แข็งแรงทนทานเหมือนฟันธรรมชาติ แต่ก็มีข้อจำกัดบางอย่างที่คุณควรใส่ใจเพื่อป้องกันความเสียหายในระยะยาว การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเหล่านี้จะช่วยให้รากฟันเทียมของคุณอยู่ได้นานและมีประสิทธิภาพ
1. งดการกัดหรือเคี้ยวของแข็ง
ครอบฟันเทียมที่อยู่บนรากฟันเทียมนั้นแข็งแรงก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะทนทานต่อแรงกระแทกที่รุนแรงได้ทุกชนิด การใช้ฟันกัดหรือเคี้ยวของแข็งมากๆ เช่น น้ำแข็ง, กระดูก, ถั่วเปลือกแข็ง หรือแม้แต่ใช้ฟันเปิดฝาขวด อาจทำให้ครอบฟันเซรามิกเกิดรอยร้าว แตก หรือเสียหายได้ในที่สุด และในบางกรณีอาจส่งผลกระทบต่อรากฟันเทียมที่อยู่ด้านล่างได้เช่นกัน
2. หยุดสูบบุหรี่
การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่ทำให้การปลูกรากฟันเทียมล้มเหลว สารนิโคตินและสารเคมีในบุหรี่จะทำให้ การไหลเวียนของเลือดบริเวณเหงือกลดลง ส่งผลให้กระบวนการสมานตัวของกระดูกรอบๆ รากฟันเทียมไม่ดีเท่าที่ควร อีกทั้งยังทำให้เกิดการติดเชื้อและการอักเสบได้ง่ายขึ้นอย่างมาก ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคปริทันต์อักเสบ (Peri-implantitis) และทำให้รากฟันเทียมหลุดได้ในที่สุด
3. ควบคุมการนอนกัดฟัน
สำหรับผู้ที่มีพฤติกรรมการนอนกัดฟันโดยไม่รู้ตัว แรงกดมหาศาลที่เกิดขึ้นในเวลากลางคืนจะส่งผลเสียต่อรากฟันเทียมอย่างมาก แรงกดอย่างต่อเนื่องนี้อาจทำให้รากฟันเทียมหลวมหรือเสียหายได้ หากคุณมีพฤติกรรมนี้ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อทำ เฝือกสบฟัน (Mouthguard) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ทำขึ้นเฉพาะบุคคล เพื่อใส่ในเวลากลางคืน ช่วยป้องกันฟันและรากฟันเทียมจากแรงกดดังกล่าว
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้จะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่ารากฟันเทียมจะแข็งแรงและอยู่กับคุณไปได้นานแสนนาน
4. การพบทันตแพทย์เป็นประจำ
แม้ว่าการดูแลทำความสะอาดรากฟันเทียมด้วยตัวเองที่บ้านจะเป็นสิ่งจำเป็น แต่ก็ไม่สามารถทดแทนการดูแลและตรวจเช็กจากผู้เชี่ยวชาญได้ การพบทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยให้รากฟันเทียมของคุณมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน
ตรวจสุขภาพช่องปากทุก 6 เดือน
การเข้าพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำอย่างน้อย ทุกๆ 6 เดือน ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการดูแลรากฟันเทียม ทันตแพทย์จะสามารถ:
- ประเมินความสมบูรณ์ของรากฟันเทียม: ทันตแพทย์จะตรวจดูความมั่นคงของรากฟันเทียมและครอบฟัน รวมถึงประเมินสภาพของเหงือกและกระดูกรอบๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการอักเสบหรือปัญหาใดๆ ที่อาจเกิดขึ้น
- ตรวจสอบการสบฟัน: หากมีการสบฟันที่ผิดปกติ อาจทำให้เกิดแรงกดที่มากเกินไปกับรากฟันเทียม ทันตแพทย์จะช่วยปรับแก้ไขปัญหานี้ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ
- ตรวจเช็กความแน่นของสกรู: บางครั้งสกรูที่ยึดครอบฟันอาจคลายตัวได้ ทันตแพทย์จะทำการตรวจเช็กและขันให้แน่นหนาอยู่เสมอ
ขูดหินปูนและทำความสะอาดเฉพาะทาง
การทำความสะอาดโดยทันตแพทย์นั้นแตกต่างจากการแปรงฟันทั่วไป เพราะทันตแพทย์จะใช้อุปกรณ์เฉพาะทางที่ออกแบบมาเพื่อทำความสะอาดรากฟันเทียมโดยเฉพาะ
- กำจัดคราบจุลินทรีย์และหินปูน: ทันตแพทย์จะทำความสะอาดคราบหินปูนที่สะสมอยู่ตามซอกฟันและบริเวณรอบๆ รากฟันเทียมในจุดที่การแปรงฟันปกติเข้าไม่ถึง ซึ่งช่วยป้องกันการอักเสบของเหงือกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสม: ทันตแพทย์จะใช้อุปกรณ์ที่ไม่ทำร้ายผิวของครอบฟันและเนื้อเยื่อเหงือก ซึ่งเป็นการดูแลที่ปลอดภัยกว่าการพยายามขูดหินปูนเองที่บ้านอย่างแน่นอน
การไปพบทันตแพทย์ตามนัดหมายอย่างสม่ำเสมอจึงเปรียบเสมือนการ "ตรวจสภาพ" รากฟันเทียมของคุณ ทำให้สามารถตรวจพบและแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที ก่อนที่จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่แก้ไขได้ยาก
สัญญาณเตือนที่ควรรีบพบทันตแพทย์
การดูแลรากฟันเทียมด้วยตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็มีบางอาการที่บ่งบอกว่าคุณควรหยุดพักจากการดูแลตัวเองชั่วคราวและรีบไปพบทันตแพทย์ทันที อาการเหล่านี้คือสัญญาณเตือนว่าอาจเกิดปัญหาขึ้นกับรากฟันเทียมของคุณ ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้อาจนำไปสู่ปัญหาที่แก้ไขได้ยากในอนาคต
1. เหงือกมีอาการบวมแดงหรือมีเลือดออกง่าย
หากคุณสังเกตเห็นว่าเหงือกบริเวณรอบๆ รากฟันเทียมมีสีแดงผิดปกติ บวม หรือมีเลือดออกง่ายขณะแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟัน นั่นอาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของ โรคเหงือกอักเสบ หากไม่รีบแก้ไข การอักเสบอาจลุกลามไปยังกระดูกที่รองรับรากฟันเทียมและพัฒนาไปสู่โรคที่ร้ายแรงกว่า
2. มีอาการเจ็บปวดหรือไม่สบาย
ปกติแล้วรากฟันเทียมที่ได้รับการปลูกอย่างสมบูรณ์จะไม่ทำให้เกิดอาการเจ็บปวดใดๆ หากคุณเริ่มมีอาการเจ็บปวดอย่างต่อเนื่องหรือไม่สบายบริเวณรากฟันเทียม นั่นอาจเป็นสัญญาณของ การติดเชื้อหรือการอักเสบ ที่เกิดขึ้นในกระดูกหรือเนื้อเยื่อรอบๆ รากฟันเทียม ซึ่งควรรีบให้ทันตแพทย์ตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที
3. รากฟันเทียมหรือครอบฟันดูหลวมหรือโยกได้
ความรู้สึกว่าครอบฟันหรือรากฟันเทียมที่เคยแน่นหนาเริ่ม หลวมหรือโยกได้ ถือเป็นสัญญาณอันตรายที่ต้องรีบไปพบทันตแพทย์ทันที อาการนี้อาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น สกรูยึดครอบฟันคลายตัว หรืออาจเกิดจากกระดูกรอบๆ รากฟันเทียมถูกทำลายลงไปแล้ว หากปล่อยไว้รากฟันเทียมอาจหลุดออกมาได้
4. มีหนองออกมาจากบริเวณรอบๆ รากฟันเทียม
การมี หนองไหลออกมาจากบริเวณเหงือก รอบๆ รากฟันเทียม เป็นสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดของการติดเชื้อ ซึ่งเรียกว่า ฝีปริทันต์ (Peri-implant Abscess) สภาวะนี้เป็นภาวะฉุกเฉินทางทันตกรรมที่ต้องการการรักษาอย่างเร่งด่วน เพราะหากปล่อยไว้การติดเชื้ออาจลุกลามและทำลายกระดูกอย่างรวดเร็ว
5 สิ่งที่ต้องรู้เกี่ยวกับการดูแลรากฟันเทียม (คำถามที่พบบ่อย)
การปลูกรากฟันเทียมเป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมในการทดแทนฟันที่หายไป แต่หลายคนอาจยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการดูแลรักษา บทความนี้ได้รวบรวม 5 คำถามที่พบบ่อยที่สุดเกี่ยวกับการดูแลรากฟันเทียม พร้อมคำตอบที่จะช่วยให้คุณเข้าใจและดูแลรากฟันเทียมได้อย่างถูกต้องและยั่งยืน
1. รากฟันเทียมต้องดูแลเหมือนฟันธรรมชาติไหม?
นี่เป็นคำถามที่พบบ่อยที่สุดสำหรับผู้ที่ตัดสินใจปลูกรากฟันเทียม
คำตอบที่ถูกต้องและสำคัญที่สุดก็คือ ใช่ รากฟันเทียมต้องดูแลเหมือนฟันธรรมชาติทุกประการ และการดูแลนี้เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยให้รากฟันเทียมอยู่กับคุณได้ยาวนาน
หลายคนอาจเข้าใจผิดว่ารากฟันเทียม ซึ่งทำจากไทเทเนียมและเซรามิก เป็นวัสดุที่ไม่มีวันผุและไม่จำเป็นต้องดูแลอะไรมาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ปัญหาที่ทำให้รากฟันเทียมล้มเหลวไม่ได้เกิดจากตัวรากฟันเทียมเอง แต่เกิดจากเนื้อเยื่อรอบๆ รากฟันเทียมต่างหาก
เมื่อคุณทำความสะอาดช่องปากไม่ทั่วถึง คราบแบคทีเรียจะสะสมอยู่บริเวณเหงือกและกระดูกรอบๆ รากฟันเทียม ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของ โรคปริทันต์อักเสบ (Peri-implantitis) โรคนี้จะทำให้เหงือกอักเสบและบวมแดง หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา กระดูกที่ยึดรากฟันเทียมก็จะถูกทำลายไปเรื่อยๆ จนไม่สามารถรองรับรากฟันเทียมได้อีกต่อไป และทำให้รากฟันเทียมหลุดออกมาในที่สุด
ดังนั้น การดูแลรากฟันเทียมให้เหมือนฟันธรรมชาติ ทั้งการ แปรงฟัน ใช้ไหมขัดฟัน และทำความสะอาดช่องปากเป็นประจำ จึงเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้รากฟันเทียมของคุณคงทนและแข็งแรงไปตลอดชีวิต
2. ต้องใช้แปรงสีฟันและยาสีฟันแบบไหน?
สำหรับแปรงสีฟัน ควรเลือกใช้แปรงสีฟันขนนุ่มหรือแปรงสีฟันไฟฟ้า เพื่อทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน ไม่ทำร้ายเหงือกและผิวเคลือบของครอบฟัน ควรหลีกเลี่ยงแปรงสีฟันขนแข็งซึ่งอาจทำให้เหงือกร่นหรือทำให้เกิดรอยขีดข่วนบนครอบฟันได้
ส่วนยาสีฟัน สามารถใช้ยาสีฟันทั่วไปที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ได้ เพื่อช่วยป้องกันฟันธรรมชาติซี่อื่นๆ ที่เหลืออยู่ แต่ควรหลีกเลี่ยงยาสีฟันที่มีสารขัดฟันที่รุนแรงมากเกินไป เพราะสารเหล่านี้อาจทำให้ผิวของครอบฟันเกิดความเสียหายได้
หากไม่แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ชนิดใดเหมาะสมกับรากฟันเทียม ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม
3. มีอุปกรณ์เสริมอะไรบ้างที่ช่วยให้ทำความสะอาดได้ดียิ่งขึ้น?
การแปรงฟันอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะทำความสะอาดรากฟันเทียมได้อย่างทั่วถึง โดยเฉพาะในบริเวณที่เข้าถึงยาก การใช้อุปกรณ์เสริมเหล่านี้ควบคู่ไปด้วยจะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าช่องปากสะอาดอย่างแท้จริง
- ไหมขัดฟัน (Dental Floss): การใช้ไหมขัดฟันทุกวันเป็นสิ่งสำคัญในการทำความสะอาดซอกฟันเพื่อขจัดเศษอาหารและคราบจุลินทรีย์ที่แปรงสีฟันเข้าไม่ถึง ควรเลือกใช้ไหมขัดฟันสำหรับรากฟันเทียมโดยเฉพาะ ซึ่งจะมีลักษณะเป็นเส้นใยหนาและส่วนปลายแข็ง ช่วยให้สอดเข้าไปทำความสะอาดบริเวณใต้สะพานฟันหรือรากฟันเทียมได้ง่าย
- แปรงซอกฟัน (Interdental Brush): เป็นแปรงขนาดเล็กที่มีประสิทธิภาพสูงในการทำความสะอาดช่องว่างระหว่างฟันที่กว้าง หรือใต้สะพานฟัน ทันตแพทย์จะช่วยแนะนำขนาดแปรงที่เหมาะสมกับช่องปากของคุณ
- เครื่องทำความสะอาดฟันด้วยน้ำ (Water Flosser): หรือที่เรียกว่าเครื่องฉีดน้ำทำความสะอาดฟัน เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่ช่วยทำความสะอาดบริเวณรอบๆ รากฟันเทียมและซอกฟันด้วยแรงดันน้ำ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสะอาดที่ล้ำลึก หรือผู้ที่ไม่ถนัดการใช้ไหมขัดฟันทั่วไป
การใช้อุปกรณ์เสริมเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันการสะสมของแบคทีเรียและหินปูน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของปัญหาเหงือกอักเสบและช่วยให้รากฟันเทียมของคุณคงทนไปได้อีกนาน
4. รากฟันเทียมมีอายุการใช้งานนานแค่ไหน?
หนึ่งในคำถามที่พบบ่อยที่สุดเกี่ยวกับการปลูกรากฟันเทียมคือเรื่องของอายุการใช้งาน ซึ่งข่าวดีก็คือ รากฟันเทียมสามารถอยู่ได้นานหลายสิบปีหรือตลอดชีวิต หากได้รับการดูแลอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอ
แม้ตัวรากฟันเทียมที่ทำจากไทเทเนียมจะเป็นวัสดุที่แข็งแรงทนทานและไม่เสื่อมสภาพ แต่ปัจจัยที่กำหนดอายุการใช้งานที่แท้จริงคือ สุขภาพของเหงือกและกระดูก ที่อยู่รอบๆ รากฟันเทียมต่างหาก หากคุณรักษาสุขภาพช่องปากให้สะอาดอยู่เสมอ ปราศจากคราบแบคทีเรียและหินปูน ก็จะช่วยป้องกันการอักเสบของเหงือกและกระดูก ทำให้รากฟันเทียมคงสภาพดีและแข็งแรงได้นาน
ดังนั้น กุญแจสำคัญสู่การมีรากฟันเทียมที่ยั่งยืนคือ:
- การดูแลความสะอาดด้วยตัวเอง: แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอเป็นประจำทุกวัน
- การพบทันตแพทย์เป็นประจำ: เข้าพบทันตแพทย์เพื่อตรวจเช็กสภาพและขูดหินปูนอย่างน้อย ปีละ 2 ครั้ง เพื่อให้ทันตแพทย์ได้ตรวจดูความเรียบร้อยและทำความสะอาดในจุดที่ยากจะเข้าถึง
การดูแลที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่ารากฟันเทียมเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าและจะอยู่กับคุณไปอีกนานแสนนาน
5. มีพฤติกรรมอะไรที่ควรหลีกเลี่ยง?
แม้รากฟันเทียมจะแข็งแรง แต่การดูแลรักษาก็รวมถึงการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมบางอย่างที่อาจส่งผลเสียในระยะยาว การทำความเข้าใจและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเหล่านี้จะช่วยให้รากฟันเทียมของคุณอยู่ได้นานและมีประสิทธิภาพ
งดการกัดหรือเคี้ยวของแข็ง
ครอบฟันที่ทำจากเซรามิกหรือวัสดุอื่นๆ นั้นแข็งแรง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะทนทานต่อแรงกระแทกได้ทุกชนิด การใช้ฟันกัดของแข็งมากๆ เช่น น้ำแข็ง, กระดูก, ถั่วเปลือกแข็ง หรือแม้แต่ใช้ฟันเปิดฝาขวด อาจทำให้ครอบฟันเกิดรอยร้าว แตก หรือเสียหายได้ และในบางกรณีอาจส่งผลกระทบถึงรากฟันเทียมที่อยู่ด้านล่าง ทำให้เกิดความเสียหายที่ซ่อมแซมได้ยาก
หยุดสูบบุหรี่
การสูบบุหรี่เป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดที่ทำให้การปลูกรากฟันเทียมล้มเหลว สารนิโคตินและสารเคมีในบุหรี่จะทำให้การไหลเวียนของเลือดบริเวณเหงือกลดลง ทำให้กระบวนการสมานตัวของกระดูกรอบๆ รากฟันเทียมไม่ดีเท่าที่ควร อีกทั้งยังทำให้เกิดการติดเชื้อและการอักเสบได้ง่ายขึ้นอย่างมาก ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคปริทันต์อักเสบ (Peri-implantitis) และทำให้รากฟันเทียมหลุดได้ในที่สุด
ไม่ควรละเลยการพบทันตแพทย์ตามนัด
การทำความสะอาดด้วยตัวเองที่บ้านเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็ไม่สามารถทดแทนการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญได้ การไม่เข้าพบทันตแพทย์เพื่อตรวจเช็กสุขภาพช่องปากเป็นประจำตามนัดหมายอย่างน้อย ปีละ 2 ครั้ง ทำให้พลาดโอกาสในการตรวจพบปัญหาตั้งแต่เนิ่นๆ ทันตแพทย์จะสามารถตรวจเช็กความมั่นคงของรากฟันเทียม ทำความสะอาดหินปูนในจุดที่เข้าถึงยาก และแก้ไขปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ก่อนที่มันจะลุกลามเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต
ดูแลรากฟันเทียมอย่างไรให้อยู่ได้นาน? สรุปเคล็ดลับเพื่อรอยยิ้มที่ยั่งยืน
การปลูกรากฟันเทียมเป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพช่องปากและรอยยิ้มที่มั่นใจ การจะรักษารากฟันเทียมให้อยู่ได้นานหลายสิบปีนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย หากคุณเข้าใจและปฏิบัติตามหลักการดูแลที่ถูกต้อง
การดูแลรากฟันเทียมอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่ารอยยิ้มของคุณจะสวยงามและแข็งแรงไปอีกนานแสนนาน สำหรับผู้ที่กำลังมองหาคลินิกทันตกรรมที่เชี่ยวชาญด้านการปลูกรากฟันเทียมและให้คำแนะนำในการดูแลอย่างละเอียด เพ็ชราคลินิก พร้อมให้บริการด้วยทีมทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อให้คุณได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและรอยยิ้มที่ยั่งยืน
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
โทร. 094-741-9369
เวลาเปิด-ปิด วันจันทร์-เสาร์ เวลา 09.00-19.00 น.
พิกัด: https://goo.gl/maps/qUCfWj9PNAhcPuyr8