การดูแลตัวเองหลังรักษารากฟัน กินอะไรได้บ้าง

Petcharadentalclinic • August 6, 2025

การดูแลตัวเองหลังรักษารากฟัน กินอะไรได้บ้าง

การดูแลตัวเองหลังรักษารากฟัน กินอะไรได้บ้าง

การรักษารากฟันเป็นขั้นตอนสำคัญในการรักษาฟันที่มีปัญหาติดเชื้อหรืออักเสบอย่างรุนแรง เพื่อให้ฟันซี่นั้นสามารถใช้งานได้ต่อไป แต่หลังจากรักษารากฟันแล้ว การดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อป้องกันอาการเจ็บปวดและช่วยให้แผลในช่องปากหายเร็วขึ้น


ทำไมต้องระวังเรื่องอาหารหลังรักษารากฟัน?

หลังการรักษารากฟัน ฟันซี่ที่ได้รับการรักษาจะมีความเปราะบางกว่าปกติ เนื่องจากมีการนำเนื้อฟันบางส่วนออกไปเพื่อทำความสะอาดและใส่ยา อาการปวดและบวมอาจเกิดขึ้นได้ในช่วง 2-3 วันแรก นอกจากนี้ การใช้ยาชาและยาปฏิชีวนะอาจทำให้มีอาการชาหรือไม่คุ้นเคยกับการเคี้ยวอาหาร การเลือกอาหารที่เหมาะสมจึงช่วยลดความเสี่ยงที่ฟันจะแตกหรือเกิดการติดเชื้อซ้ำได้


1. ป้องกันอาการปวดและลดการระคายเคือง

หลังจากการรักษารากฟัน อาการปวดและบวม เป็นเรื่องปกติที่อาจเกิดขึ้นได้ในช่วง 2-3 วันแรก การเคี้ยวอาหารที่แข็งหรือเหนียวจะไปเพิ่มแรงกดบริเวณฟันที่เพิ่งได้รับการรักษา ทำให้เกิดอาการปวดมากขึ้นและอาจทำให้แผลในช่องปากเกิดการอักเสบได้ง่าย การเลือกอาหารอ่อนนุ่มจึงช่วยให้ฟันได้พักและฟื้นตัวได้ดีขึ้น


2. ลดความเสี่ยงที่ฟันจะแตกหรือหัก

ฟันที่ผ่านการรักษารากฟันแล้ว จะมีความเปราะบางกว่าฟันปกติ เนื่องจากมีการนำเนื้อฟันบางส่วนออกไปเพื่อทำความสะอาดและอุดรากฟัน ทำให้ฟันขาดความแข็งแรงตามธรรมชาติ หากเคี้ยวอาหารที่แข็งมาก เช่น น้ำแข็ง ถั่ว หรือขนมกรุบกรอบ อาจทำให้ฟันซี่นั้น แตกหรือหัก ได้ง่าย ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียฟันในที่สุด


3. ป้องกันวัสดุอุดฟันหลุด

ในการรักษารากฟัน ทันตแพทย์จะทำการอุดฟันชั่วคราวหรือถาวร การเคี้ยวอาหารที่เหนียวหรือหนึบ เช่น หมากฝรั่ง ทอฟฟี่ หรือคาราเมล อาจทำให้ วัสดุอุดฟันหลุด ออกมาได้ หากวัสดุอุดหลุดออกไป ช่องว่างที่เปิดอยู่นี้จะเป็นช่องทางให้เชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ภายในโพรงฟันและรากฟันได้อีกครั้ง ซึ่งจะนำไปสู่การติดเชื้อซ้ำซ้อนและต้องกลับมารักษาใหม่


4. ป้องกันการติดเชื้อซ้ำ

ในช่วงแรกหลังการรักษา เนื้อเยื่อรอบฟันยังคงบอบช้ำ การรับประทานอาหารที่มีรสจัด เช่น เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด หรือเค็มจัด อาจไปกระตุ้นและ ระคายเคืองแผล ทำให้เกิดการอักเสบและเสี่ยงต่อการติดเชื้อ นอกจากนี้ การเลือกอาหารที่ไม่เหมาะสมยังส่งผลต่อสุขอนามัยในช่องปากโดยรวมอีกด้วย


5. เพื่อประสิทธิภาพของยาและกระบวนการรักษา

ทันตแพทย์อาจให้ยาปฏิชีวนะและยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการหลังการรักษา การดื่ม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของยา และอาจทำให้การหายของแผลช้าลง



อาหารที่ควรเลือกกินในช่วง 1-3 วันแรกหลังรักษารากฟัน

ในช่วง 1-3 วันแรกหลังจากการรักษารากฟัน ฟันซี่ที่ได้รับการรักษายังคงบอบช้ำและอาจมีอาการปวดหรือเสียวฟัน การเลือกอาหารที่เหมาะสมจะช่วยลดแรงกระทำต่อฟันและทำให้คุณรู้สึกสบายขึ้น นี่คืออาหารที่คุณควรเลือกกินในช่วงนี้:


1. อาหารเหลวและกึ่งเหลว

อาหารประเภทนี้ไม่ต้องอาศัยการเคี้ยวมาก จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในช่วงแรก เช่น:

  • โจ๊กหรือข้าวต้ม: ควรเป็นโจ๊กหรือข้าวต้มที่ต้มจนนิ่มละเอียดและไม่มีเนื้อสัตว์เป็นชิ้นใหญ่ๆ
  • ซุป: ซุปผัก ซุปไก่ หรือซุปกระดูกที่กรองเอาส่วนที่เป็นกากออกแล้ว เพื่อให้เหลือแต่ส่วนที่เป็นน้ำซุปใสๆ
  • สมูทตี้: ควรทำจากผลไม้ที่ไม่มีเมล็ดแข็ง เช่น กล้วย มะม่วง หรือโยเกิร์ตปั่น
  • เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ: นมถั่วเหลือง นมจืด หรือเครื่องดื่มชงที่ไม่มีน้ำตาลมากเกินไป


2. อาหารอ่อนนุ่ม

เมื่ออาการปวดลดลง คุณสามารถเริ่มรับประทานอาหารที่อ่อนนุ่มขึ้นได้ เช่น:

  • ไข่: ไข่ตุ๋น ไข่เจียว หรือไข่คน
  • เต้าหู้: เต้าหู้นึ่ง หรือเต้าหู้ที่ใส่ในซุป
  • ปลาเนื้อขาว: ปลาช่อนหรือปลาทับทิมนึ่ง เพราะเนื้อปลามีความอ่อนนุ่มและย่อยง่าย
  • ผักต้ม: ผักที่ต้มจนนิ่ม เช่น ฟักทอง หรือมันเทศ


3. ของเย็นช่วยบรรเทาอาการปวด

อาหารหรือเครื่องดื่มที่มีความเย็นจะช่วยบรรเทาอาการปวดและลดอาการบวมได้ดี เช่น:

  • ไอศกรีม: ควรเป็นไอศกรีมรสธรรมดาที่ไม่มีส่วนผสมแข็งๆ เช่น ถั่วหรือช็อกโกแลตชิป
  • โยเกิร์ตเย็นๆ: โยเกิร์ตเนื้อนุ่ม ที่ไม่มีชิ้นผลไม้แข็งๆ ผสมอยู่

เคล็ดลับสำคัญ:

  • ควร เคี้ยวอาหารในฝั่งตรงข้าม กับฟันที่ได้รับการรักษา
  • หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ควร บ้วนปากด้วยน้ำสะอาด ทุกครั้ง เพื่อช่วยทำความสะอาดและลดการสะสมของเศษอาหาร



อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงหลังการรักษารากฟัน

หลังจากได้รับการรักษารากฟัน ฟันซี่นั้นจะยังบอบบางและต้องการเวลาพักฟื้น การเลือกอาหารที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้เกิดอาการปวด ฟันแตก หรือวัสดุอุดฟันหลุดได้ จึงควรหลีกเลี่ยงอาหารบางประเภทในช่วงนี้อย่างน้อย 1-3 วัน หรือจนกว่าทันตแพทย์จะอนุญาต


1. อาหารแข็งและกรอบ

อาหารประเภทนี้จะเพิ่มแรงกดและแรงกระทำต่อฟันที่เพิ่งได้รับการรักษา ทำให้เกิดความเสี่ยงที่ฟันจะ แตกหรือหัก ได้ง่ายกว่าปกติ

  • ตัวอย่าง: น้ำแข็ง, ถั่ว, ขนมกรุบกรอบ, ขนมปังกรอบ, แครกเกอร์


2. อาหารเหนียว

อาหารที่มีความเหนียวอาจไปดึง วัสดุอุดฟันชั่วคราว ที่ทันตแพทย์ใส่ไว้ให้หลุดออกมาได้ ซึ่งจะทำให้เชื้อแบคทีเรียเข้าไปในโพรงฟันได้อีกครั้ง

  • ตัวอย่าง: หมากฝรั่ง, คาราเมล, ทอฟฟี่, ลูกอมเคี้ยวหนึบ


3. อาหารรสจัด

อาหารที่มีรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด หรือเค็มจัด อาจไป ระคายเคืองแผล ในช่องปากและทำให้เกิดการอักเสบหรือปวดมากขึ้น

  • ตัวอย่าง: ส้มตำ, ต้มยำ, อาหารรสจัดจ้านต่างๆ


4. เครื่องดื่มร้อนและเย็นจัด

อุณหภูมิที่ร้อนหรือเย็นเกินไปอาจ กระตุ้นอาการเสียวฟัน ที่อาจเกิดขึ้นได้หลังการรักษา

  • ตัวอย่าง: ซุปร้อนจัด, ชาหรือกาแฟร้อน, น้ำอัดลม, น้ำปั่นเย็นจัด


5. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์

การดื่มแอลกอฮอล์อาจ ส่งผลต่อการทำงานของยา ปฏิชีวนะและยาแก้ปวดที่ทันตแพทย์ให้มา อีกทั้งยังทำให้การหายของแผลช้าลง

  • ตัวอย่าง: เบียร์, ไวน์, เหล้า


การหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการดูแลตัวเองหลังการรักษารากฟัน สิ่งสำคัญคือต้อง เคี้ยวอาหารในฝั่งตรงข้าม และรักษาสุขอนามัยในช่องปากให้ดีตามคำแนะนำของทันตแพทย์ เพื่อให้ฟันที่ได้รับการรักษากลับมาแข็งแรงได้เร็วที่สุด



อาการที่ควรเฝ้าระวังและวิธีดูแลหลังรักษารากฟัน

การรักษารากฟันเป็นกระบวนการที่ช่วยให้คุณสามารถเก็บฟันที่มีปัญหาไว้ใช้งานได้ต่อไป แต่หลังจากนั้นอาจมีอาการบางอย่างเกิดขึ้นได้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องปกติและจะค่อยๆ ดีขึ้น แต่ก็มีบางอาการที่ควรเฝ้าระวังเป็นพิเศษและควรรีบกลับไปพบทันตแพทย์


อาการปกติที่อาจเกิดขึ้นได้และวิธีดูแล

อาการเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นในช่วง 2-3 วันแรกหลังการรักษาและจะค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ

  • อาการปวดหรือเสียวฟันเล็กน้อย: เป็นเรื่องปกติที่อาจเกิดขึ้นได้จากการอักเสบของเนื้อเยื่อรอบรากฟัน
  • วิธีดูแล: ทานยาแก้ปวดที่ทันตแพทย์จัดให้ตามคำแนะนำ หากอาการไม่ดีขึ้นหลังจากทานยาแล้ว ควรปรึกษาทันตแพทย์
  • อาการบวมบริเวณเหงือกหรือแก้ม: อาจเกิดขึ้นได้จากการที่เนื้อเยื่อรอบฟันได้รับการกระตุ้น
  • วิธีดูแล: ใช้ผ้าห่อน้ำแข็งประคบที่แก้มบริเวณที่ได้รับการรักษาครั้งละ 15-20 นาที เพื่อช่วยลดอาการบวม
  • ความรู้สึกไม่คุ้นเคยกับการเคี้ยว: ฟันที่ได้รับการรักษายังคงบอบบางและอาจมีความรู้สึกแปลกๆ
  • วิธีดูแล: พยายามเคี้ยวอาหารในฝั่งตรงข้าม และหลีกเลี่ยงอาหารที่ต้องใช้แรงเคี้ยวมากๆ


อาการที่ควรเฝ้าระวังและรีบกลับไปพบทันตแพทย์

หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบติดต่อทันตแพทย์ทันที เนื่องจากอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อหรือปัญหาอื่นที่ต้องแก้ไข

  • อาการปวดรุนแรงและไม่ดีขึ้น: หากมีอาการปวดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แม้จะทานยาแก้ปวดแล้ว หรืออาการปวดไม่หายไปภายใน 3 วัน ควรรีบไปพบทันตแพทย์
  • อาการบวมรุนแรงและมีหนองไหล: หากมีอาการบวมอย่างเห็นได้ชัดบริเวณใบหน้าหรือในช่องปาก ร่วมกับมีหนองไหลออกมาจากบริเวณเหงือก แสดงว่าอาจมีการติดเชื้อ
  • มีไข้หรืออาการไม่สบายตัว: อาการไข้เป็นสัญญาณว่าร่างกายกำลังต่อสู้กับการติดเชื้อ
  • วัสดุอุดฟันชั่วคราวหลุด: หากวัสดุอุดฟันที่ทันตแพทย์ใส่ไว้หลุดออกมา ควรรีบกลับไปพบทันตแพทย์เพื่อทำการอุดใหม่ทันที เพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าไปในโพรงฟัน
  • ฟันซี่ที่รักษาแตกหรือหัก: หากฟันเกิดการแตกหัก ควรรีบไปปรึกษาทันตแพทย์เพื่อประเมินและวางแผนการรักษาต่อไป


การดูแลสุขอนามัยในช่องปาก

การรักษาสุขอนามัยในช่องปากเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการช่วยให้ฟันและเหงือกฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่:

  • การแปรงฟัน: สามารถแปรงฟันได้ตามปกติ แต่ควร แปรงอย่างเบามือ บริเวณฟันซี่ที่ได้รับการรักษา ใช้แปรงสีฟันขนนุ่ม เพื่อไม่ให้ระคายเคืองแผล
  • การใช้ไหมขัดฟัน: ใช้ไหมขัดฟันได้ตามปกติ แต่ควรระมัดระวังเป็นพิเศษบริเวณรอบๆ ฟันที่รักษา
  • การบ้วนปาก: หากทันตแพทย์แนะนำให้ใช้น้ำยาบ้วนปากฆ่าเชื้อ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
  • การนัดหมายติดตามผล: อย่าลืมไปพบทันตแพทย์ตามนัดหมาย เพื่อทำการ ใส่ครอบฟัน หรืออุดฟันถาวรต่อไป เพราะฟันที่ได้รับการรักษารากฟันแล้วจะเปราะบาง การใส่ครอบฟันจะช่วยปกป้องฟันซี่นั้นให้สามารถใช้งานได้อย่างยาวนาน


การรักษารากฟันเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องใช้ความระมัดระวังสูง แต่ด้วยการดูแลตัวเองที่ถูกต้อง โดยเฉพาะการเลือกอาหารที่เหมาะสม จะช่วยให้คุณกลับมามีรอยยิ้มที่มั่นใจได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย



การดูแลตนเองที่บ้านหลังรักษารากฟัน


1. การทำความสะอาดช่องปาก

  • การแปรงฟัน: คุณสามารถแปรงฟันได้ตามปกติ แต่ในช่วงแรกควรใช้ แปรงสีฟันขนนุ่ม และแปรงเบาๆ บริเวณที่ได้รับการรักษาเพื่อไม่ให้เกิดการระคายเคือง
  • ไหมขัดฟัน: การใช้ไหมขัดฟันก็ยังคงจำเป็น แต่ให้ทำอย่างระมัดระวังบริเวณรอบๆ ฟันที่รักษา เพื่อไม่ให้ไปกระทบกระเทือนแผล
  • น้ำยาบ้วนปาก: หากทันตแพทย์แนะนำให้ใช้น้ำยาบ้วนปากฆ่าเชื้อ ควรใช้ตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด จะช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อได้


2. การใช้ยาตามที่ทันตแพทย์สั่ง

  • ยาแก้ปวด: ทันตแพทย์จะจัดยาแก้ปวดให้เพื่อบรรเทาอาการปวดที่อาจเกิดขึ้นในช่วง 1-3 วันแรก ควรทานยาตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
  • ยาปฏิชีวนะ: หากมีการติดเชื้อ ทันตแพทย์อาจสั่งยาปฏิชีวนะเพื่อรักษา การทานยาให้ครบตามกำหนดเป็นสิ่งสำคัญมากเพื่อกำจัดเชื้อให้หมด ไม่ควรหยุดยาเองถึงแม้อาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม


3. การสังเกตอาการผิดปกติ อาการปวดเล็กน้อยหรือบวมเล็กน้อยเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าหากอาการเหล่านี้ไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน หรือมีอาการรุนแรงขึ้น เช่น:

  • อาการปวดรุนแรง แม้จะทานยาแล้วก็ไม่บรรเทา
  • อาการบวมมากขึ้น หรือมีหนองไหลออกมา
  • มีไข้ หรือรู้สึกไม่สบายตัว
  • วัสดุอุดฟันชั่วคราวหลุด ออกจากฟัน

หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบติดต่อกลับไปที่คลินิกทันตกรรมทันทีเพื่อรับคำแนะนำหรือเข้ารับการตรวจซ้ำ



ทำไมการใส่ครอบฟันถึงสำคัญหลังรักษารากฟัน?

การรักษารากฟันเป็นขั้นตอนที่ช่วยกำจัดเชื้อโรคและรักษาฟันที่มีปัญหาให้สามารถอยู่รอดได้ แต่กระบวนการนี้จะทำให้ฟันซี่นั้นมีความเปราะบางและอ่อนแอลงอย่างมาก การใส่ครอบฟันจึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่ขาดไม่ได้ เพื่อให้ฟันซี่นั้นกลับมาแข็งแรงและใช้งานได้เหมือนเดิม


1. ปกป้องฟันที่เปราะบาง

เมื่อฟันได้รับการรักษารากฟัน จะสูญเสียความชุ่มชื้นและสารอาหาร ที่เคยได้รับจากโพรงประสาทฟัน ทำให้เนื้อฟันแห้งและเปราะมากขึ้น ประกอบกับการที่ทันตแพทย์ต้องกรอฟันออกเพื่อทำความสะอาดภายในราก ทำให้ฟันมีโครงสร้างที่อ่อนแอลงอย่างมาก หากไม่ได้รับการปกป้องจากครอบฟัน ฟันซี่นั้นอาจ แตกหักได้ง่าย จากแรงบดเคี้ยวเพียงเล็กน้อย


2. ฟื้นฟูความสามารถในการบดเคี้ยว

ครอบฟันถูกออกแบบมาให้มีรูปร่างและขนาดใกล้เคียงกับฟันธรรมชาติ จึงช่วยให้คุณสามารถ บดเคี้ยวอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมั่นใจ โดยไม่ต้องกังวลว่าฟันจะแตกหรือหัก


3. ป้องกันการติดเชื้อซ้ำ

หลังจากอุดรากฟันเรียบร้อยแล้ว การใส่ครอบฟันจะช่วย ปิดช่องทางไม่ให้เชื้อโรค หรือแบคทีเรียจากภายนอกเข้าสู่ภายในรากฟันได้อีกครั้ง ซึ่งช่วยป้องกันการติดเชื้อซ้ำซ้อนและปัญหาอื่นๆ ที่อาจตามมาได้


4. เพิ่มความสวยงามและความมั่นใจ

ครอบฟันในปัจจุบันสามารถเลือกสีให้เข้ากับฟันซี่อื่นๆ ได้อย่างกลมกลืน จึงช่วย ฟื้นฟูรูปลักษณ์และความสวยงาม ของฟัน ทำให้คุณสามารถยิ้มได้อย่างมั่นใจโดยไม่มีฟันสีคล้ำหรือฟันที่ดูไม่สมบูรณ์



บทสรุปการดูแลตัวเองหลังรักษารากฟัน: กินอะไรได้บ้าง?

การดูแลตัวเองหลังรักษารากฟันเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ฟันฟื้นตัวได้เร็วและป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกินในช่วง 1-3 วันแรก ซึ่งเป็นช่วงที่ฟันยังบอบบางและอาจมีอาการปวดหรือเสียวฟัน


อาหารที่ควรเลือกกิน:

  • อาหารเหลวและกึ่งเหลว: เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม ซุป หรือสมูทตี้ เพราะไม่ต้องใช้แรงเคี้ยวมาก
  • อาหารอ่อนนุ่ม: เช่น ไข่ตุ๋น เต้าหู้ หรือปลาเนื้อขาวนึ่ง
  • ของเย็น: ไอศกรีมหรือโยเกิร์ตเย็นๆ จะช่วยบรรเทาอาการปวดและลดบวมได้ดี


ข้อควรระวัง: ควร เคี้ยวอาหารในฝั่งตรงข้าม กับฟันที่ได้รับการรักษา

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง:

  • อาหารแข็งและกรอบ: เช่น ถั่ว น้ำแข็ง หรือขนมกรุบกรอบ เพราะอาจทำให้ฟันแตกหรือหักได้ง่าย
  • อาหารเหนียว: เช่น หมากฝรั่งหรือคาราเมล เพราะอาจทำให้วัสดุอุดฟันหลุด
  • อาหารรสจัดและเครื่องดื่มร้อนจัด: อาจทำให้แผลระคายเคืองและปวดมากขึ้น


นอกจากการเลือกอาหารแล้ว การรักษาความสะอาดในช่องปากอย่างถูกวิธีและ การใส่ครอบฟัน ตามนัดหมายของทันตแพทย์ก็สำคัญมาก เพื่อปกป้องฟันที่เปราะบางให้กลับมาใช้งานได้อย่างแข็งแรงและยาวนานที่สุด


ที่ เพ็ชราคลินิก เราให้ความสำคัญกับการดูแลคนไข้ตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการ


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

 โทร. 094-741-9369


 เวลาเปิด-ปิด วันจันทร์-เสาร์ เวลา 09.00-19.00 น.
พิกัด: 
https://goo.gl/maps/qUCfWj9PNAhcPuyr8

ปรึกษาทันตแพทย์

บทความอื่นๆ

เมื่อไหร่ต้องรักษารากฟัน สัญญาณเตือนที่บอกว่าฟันกำลังมีปัญหา
By Petcharadentalclinic August 4, 2025
การรักษารากฟัน บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจสัญญาณเตือนที่สำคัญ พร้อมทำความเข้าใจว่าการรักษารากฟันคืออะไร และทำไมคุณไม่ควรมองข้ามปัญหานี้
รักษารากฟัน ราคาเท่าไหร่ เจาะลึกค่าใช้จ่ายและขั้นตอนที่ควรรู้
By Petcharadentalclinic August 1, 2025
การรักษารากฟัน เป็นทางเลือกในการช่วยเก็บรักษาฟันซี่นั้นไว้ ไม่ต้องถอนทิ้ง แต่หลายคนมักกังวลเรื่อง ราคาและขั้นตอน บทความนี้จะเจาะลึกทุกประเด็นที่คุณควรรู้
จัดฟันแก้ฟันล่างคร่อมฟันบน แก้ได้ไหม? ต้องผ่าตัดหรือไม่?
By Petchraradentalclinic July 30, 2025
คำถามที่พบบ่อยสำหรับผู้ที่มีภาวะนี้คือ "ฟันล่างคร่อมฟันบน แก้ได้ไหม?" และ "ต้องผ่าตัดหรือไม่?" คำตอบคือ สามารถแก้ไขได้ และในหลายกรณีอาจไม่จำเป็นต้องผ่าตัดเสมอไป