การดูแลตัวเองหลังรักษารากฟัน กินอะไรได้บ้าง
การดูแลตัวเองหลังรักษารากฟัน กินอะไรได้บ้าง

การรักษารากฟันเป็นขั้นตอนสำคัญในการรักษาฟันที่มีปัญหาติดเชื้อหรืออักเสบอย่างรุนแรง เพื่อให้ฟันซี่นั้นสามารถใช้งานได้ต่อไป แต่หลังจากรักษารากฟันแล้ว การดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อป้องกันอาการเจ็บปวดและช่วยให้แผลในช่องปากหายเร็วขึ้น
ทำไมต้องระวังเรื่องอาหารหลังรักษารากฟัน?
หลังการรักษารากฟัน ฟันซี่ที่ได้รับการรักษาจะมีความเปราะบางกว่าปกติ เนื่องจากมีการนำเนื้อฟันบางส่วนออกไปเพื่อทำความสะอาดและใส่ยา อาการปวดและบวมอาจเกิดขึ้นได้ในช่วง 2-3 วันแรก นอกจากนี้ การใช้ยาชาและยาปฏิชีวนะอาจทำให้มีอาการชาหรือไม่คุ้นเคยกับการเคี้ยวอาหาร การเลือกอาหารที่เหมาะสมจึงช่วยลดความเสี่ยงที่ฟันจะแตกหรือเกิดการติดเชื้อซ้ำได้
1. ป้องกันอาการปวดและลดการระคายเคือง
หลังจากการรักษารากฟัน อาการปวดและบวม เป็นเรื่องปกติที่อาจเกิดขึ้นได้ในช่วง 2-3 วันแรก การเคี้ยวอาหารที่แข็งหรือเหนียวจะไปเพิ่มแรงกดบริเวณฟันที่เพิ่งได้รับการรักษา ทำให้เกิดอาการปวดมากขึ้นและอาจทำให้แผลในช่องปากเกิดการอักเสบได้ง่าย การเลือกอาหารอ่อนนุ่มจึงช่วยให้ฟันได้พักและฟื้นตัวได้ดีขึ้น
2. ลดความเสี่ยงที่ฟันจะแตกหรือหัก
ฟันที่ผ่านการรักษารากฟันแล้ว จะมีความเปราะบางกว่าฟันปกติ เนื่องจากมีการนำเนื้อฟันบางส่วนออกไปเพื่อทำความสะอาดและอุดรากฟัน ทำให้ฟันขาดความแข็งแรงตามธรรมชาติ หากเคี้ยวอาหารที่แข็งมาก เช่น น้ำแข็ง ถั่ว หรือขนมกรุบกรอบ อาจทำให้ฟันซี่นั้น แตกหรือหัก ได้ง่าย ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียฟันในที่สุด
3. ป้องกันวัสดุอุดฟันหลุด
ในการรักษารากฟัน ทันตแพทย์จะทำการอุดฟันชั่วคราวหรือถาวร การเคี้ยวอาหารที่เหนียวหรือหนึบ เช่น หมากฝรั่ง ทอฟฟี่ หรือคาราเมล อาจทำให้ วัสดุอุดฟันหลุด ออกมาได้ หากวัสดุอุดหลุดออกไป ช่องว่างที่เปิดอยู่นี้จะเป็นช่องทางให้เชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ภายในโพรงฟันและรากฟันได้อีกครั้ง ซึ่งจะนำไปสู่การติดเชื้อซ้ำซ้อนและต้องกลับมารักษาใหม่
4. ป้องกันการติดเชื้อซ้ำ
ในช่วงแรกหลังการรักษา เนื้อเยื่อรอบฟันยังคงบอบช้ำ การรับประทานอาหารที่มีรสจัด เช่น เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด หรือเค็มจัด อาจไปกระตุ้นและ ระคายเคืองแผล ทำให้เกิดการอักเสบและเสี่ยงต่อการติดเชื้อ นอกจากนี้ การเลือกอาหารที่ไม่เหมาะสมยังส่งผลต่อสุขอนามัยในช่องปากโดยรวมอีกด้วย
5. เพื่อประสิทธิภาพของยาและกระบวนการรักษา
ทันตแพทย์อาจให้ยาปฏิชีวนะและยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการหลังการรักษา การดื่ม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของยา และอาจทำให้การหายของแผลช้าลง
อาหารที่ควรเลือกกินในช่วง 1-3 วันแรกหลังรักษารากฟัน
ในช่วง 1-3 วันแรกหลังจากการรักษารากฟัน ฟันซี่ที่ได้รับการรักษายังคงบอบช้ำและอาจมีอาการปวดหรือเสียวฟัน การเลือกอาหารที่เหมาะสมจะช่วยลดแรงกระทำต่อฟันและทำให้คุณรู้สึกสบายขึ้น นี่คืออาหารที่คุณควรเลือกกินในช่วงนี้:
1. อาหารเหลวและกึ่งเหลว
อาหารประเภทนี้ไม่ต้องอาศัยการเคี้ยวมาก จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในช่วงแรก เช่น:
- โจ๊กหรือข้าวต้ม: ควรเป็นโจ๊กหรือข้าวต้มที่ต้มจนนิ่มละเอียดและไม่มีเนื้อสัตว์เป็นชิ้นใหญ่ๆ
- ซุป: ซุปผัก ซุปไก่ หรือซุปกระดูกที่กรองเอาส่วนที่เป็นกากออกแล้ว เพื่อให้เหลือแต่ส่วนที่เป็นน้ำซุปใสๆ
- สมูทตี้: ควรทำจากผลไม้ที่ไม่มีเมล็ดแข็ง เช่น กล้วย มะม่วง หรือโยเกิร์ตปั่น
- เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ: นมถั่วเหลือง นมจืด หรือเครื่องดื่มชงที่ไม่มีน้ำตาลมากเกินไป
2. อาหารอ่อนนุ่ม
เมื่ออาการปวดลดลง คุณสามารถเริ่มรับประทานอาหารที่อ่อนนุ่มขึ้นได้ เช่น:
- ไข่: ไข่ตุ๋น ไข่เจียว หรือไข่คน
- เต้าหู้: เต้าหู้นึ่ง หรือเต้าหู้ที่ใส่ในซุป
- ปลาเนื้อขาว: ปลาช่อนหรือปลาทับทิมนึ่ง เพราะเนื้อปลามีความอ่อนนุ่มและย่อยง่าย
- ผักต้ม: ผักที่ต้มจนนิ่ม เช่น ฟักทอง หรือมันเทศ
3. ของเย็นช่วยบรรเทาอาการปวด
อาหารหรือเครื่องดื่มที่มีความเย็นจะช่วยบรรเทาอาการปวดและลดอาการบวมได้ดี เช่น:
- ไอศกรีม: ควรเป็นไอศกรีมรสธรรมดาที่ไม่มีส่วนผสมแข็งๆ เช่น ถั่วหรือช็อกโกแลตชิป
- โยเกิร์ตเย็นๆ: โยเกิร์ตเนื้อนุ่ม ที่ไม่มีชิ้นผลไม้แข็งๆ ผสมอยู่
เคล็ดลับสำคัญ:
- ควร เคี้ยวอาหารในฝั่งตรงข้าม กับฟันที่ได้รับการรักษา
- หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ควร บ้วนปากด้วยน้ำสะอาด ทุกครั้ง เพื่อช่วยทำความสะอาดและลดการสะสมของเศษอาหาร
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงหลังการรักษารากฟัน
หลังจากได้รับการรักษารากฟัน ฟันซี่นั้นจะยังบอบบางและต้องการเวลาพักฟื้น การเลือกอาหารที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้เกิดอาการปวด ฟันแตก หรือวัสดุอุดฟันหลุดได้ จึงควรหลีกเลี่ยงอาหารบางประเภทในช่วงนี้อย่างน้อย 1-3 วัน หรือจนกว่าทันตแพทย์จะอนุญาต
1. อาหารแข็งและกรอบ
อาหารประเภทนี้จะเพิ่มแรงกดและแรงกระทำต่อฟันที่เพิ่งได้รับการรักษา ทำให้เกิดความเสี่ยงที่ฟันจะ แตกหรือหัก ได้ง่ายกว่าปกติ
- ตัวอย่าง: น้ำแข็ง, ถั่ว, ขนมกรุบกรอบ, ขนมปังกรอบ, แครกเกอร์
2. อาหารเหนียว
อาหารที่มีความเหนียวอาจไปดึง วัสดุอุดฟันชั่วคราว ที่ทันตแพทย์ใส่ไว้ให้หลุดออกมาได้ ซึ่งจะทำให้เชื้อแบคทีเรียเข้าไปในโพรงฟันได้อีกครั้ง
- ตัวอย่าง: หมากฝรั่ง, คาราเมล, ทอฟฟี่, ลูกอมเคี้ยวหนึบ
3. อาหารรสจัด
อาหารที่มีรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด หรือเค็มจัด อาจไป ระคายเคืองแผล ในช่องปากและทำให้เกิดการอักเสบหรือปวดมากขึ้น
- ตัวอย่าง: ส้มตำ, ต้มยำ, อาหารรสจัดจ้านต่างๆ
4. เครื่องดื่มร้อนและเย็นจัด
อุณหภูมิที่ร้อนหรือเย็นเกินไปอาจ กระตุ้นอาการเสียวฟัน ที่อาจเกิดขึ้นได้หลังการรักษา
- ตัวอย่าง: ซุปร้อนจัด, ชาหรือกาแฟร้อน, น้ำอัดลม, น้ำปั่นเย็นจัด
5. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
การดื่มแอลกอฮอล์อาจ ส่งผลต่อการทำงานของยา ปฏิชีวนะและยาแก้ปวดที่ทันตแพทย์ให้มา อีกทั้งยังทำให้การหายของแผลช้าลง
- ตัวอย่าง: เบียร์, ไวน์, เหล้า
การหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการดูแลตัวเองหลังการรักษารากฟัน สิ่งสำคัญคือต้อง เคี้ยวอาหารในฝั่งตรงข้าม และรักษาสุขอนามัยในช่องปากให้ดีตามคำแนะนำของทันตแพทย์ เพื่อให้ฟันที่ได้รับการรักษากลับมาแข็งแรงได้เร็วที่สุด
อาการที่ควรเฝ้าระวังและวิธีดูแลหลังรักษารากฟัน
การรักษารากฟันเป็นกระบวนการที่ช่วยให้คุณสามารถเก็บฟันที่มีปัญหาไว้ใช้งานได้ต่อไป แต่หลังจากนั้นอาจมีอาการบางอย่างเกิดขึ้นได้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องปกติและจะค่อยๆ ดีขึ้น แต่ก็มีบางอาการที่ควรเฝ้าระวังเป็นพิเศษและควรรีบกลับไปพบทันตแพทย์
อาการปกติที่อาจเกิดขึ้นได้และวิธีดูแล
อาการเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นในช่วง 2-3 วันแรกหลังการรักษาและจะค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ
- อาการปวดหรือเสียวฟันเล็กน้อย: เป็นเรื่องปกติที่อาจเกิดขึ้นได้จากการอักเสบของเนื้อเยื่อรอบรากฟัน
- วิธีดูแล: ทานยาแก้ปวดที่ทันตแพทย์จัดให้ตามคำแนะนำ หากอาการไม่ดีขึ้นหลังจากทานยาแล้ว ควรปรึกษาทันตแพทย์
- อาการบวมบริเวณเหงือกหรือแก้ม: อาจเกิดขึ้นได้จากการที่เนื้อเยื่อรอบฟันได้รับการกระตุ้น
- วิธีดูแล: ใช้ผ้าห่อน้ำแข็งประคบที่แก้มบริเวณที่ได้รับการรักษาครั้งละ 15-20 นาที เพื่อช่วยลดอาการบวม
- ความรู้สึกไม่คุ้นเคยกับการเคี้ยว: ฟันที่ได้รับการรักษายังคงบอบบางและอาจมีความรู้สึกแปลกๆ
- วิธีดูแล: พยายามเคี้ยวอาหารในฝั่งตรงข้าม และหลีกเลี่ยงอาหารที่ต้องใช้แรงเคี้ยวมากๆ
อาการที่ควรเฝ้าระวังและรีบกลับไปพบทันตแพทย์
หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบติดต่อทันตแพทย์ทันที เนื่องจากอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อหรือปัญหาอื่นที่ต้องแก้ไข
- อาการปวดรุนแรงและไม่ดีขึ้น: หากมีอาการปวดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แม้จะทานยาแก้ปวดแล้ว หรืออาการปวดไม่หายไปภายใน 3 วัน ควรรีบไปพบทันตแพทย์
- อาการบวมรุนแรงและมีหนองไหล: หากมีอาการบวมอย่างเห็นได้ชัดบริเวณใบหน้าหรือในช่องปาก ร่วมกับมีหนองไหลออกมาจากบริเวณเหงือก แสดงว่าอาจมีการติดเชื้อ
- มีไข้หรืออาการไม่สบายตัว: อาการไข้เป็นสัญญาณว่าร่างกายกำลังต่อสู้กับการติดเชื้อ
- วัสดุอุดฟันชั่วคราวหลุด: หากวัสดุอุดฟันที่ทันตแพทย์ใส่ไว้หลุดออกมา ควรรีบกลับไปพบทันตแพทย์เพื่อทำการอุดใหม่ทันที เพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าไปในโพรงฟัน
- ฟันซี่ที่รักษาแตกหรือหัก: หากฟันเกิดการแตกหัก ควรรีบไปปรึกษาทันตแพทย์เพื่อประเมินและวางแผนการรักษาต่อไป
การดูแลสุขอนามัยในช่องปาก
การรักษาสุขอนามัยในช่องปากเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการช่วยให้ฟันและเหงือกฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่:
- การแปรงฟัน: สามารถแปรงฟันได้ตามปกติ แต่ควร แปรงอย่างเบามือ บริเวณฟันซี่ที่ได้รับการรักษา ใช้แปรงสีฟันขนนุ่ม เพื่อไม่ให้ระคายเคืองแผล
- การใช้ไหมขัดฟัน: ใช้ไหมขัดฟันได้ตามปกติ แต่ควรระมัดระวังเป็นพิเศษบริเวณรอบๆ ฟันที่รักษา
- การบ้วนปาก: หากทันตแพทย์แนะนำให้ใช้น้ำยาบ้วนปากฆ่าเชื้อ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
- การนัดหมายติดตามผล: อย่าลืมไปพบทันตแพทย์ตามนัดหมาย เพื่อทำการ ใส่ครอบฟัน หรืออุดฟันถาวรต่อไป เพราะฟันที่ได้รับการรักษารากฟันแล้วจะเปราะบาง การใส่ครอบฟันจะช่วยปกป้องฟันซี่นั้นให้สามารถใช้งานได้อย่างยาวนาน
การรักษารากฟันเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องใช้ความระมัดระวังสูง แต่ด้วยการดูแลตัวเองที่ถูกต้อง โดยเฉพาะการเลือกอาหารที่เหมาะสม จะช่วยให้คุณกลับมามีรอยยิ้มที่มั่นใจได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย
การดูแลตนเองที่บ้านหลังรักษารากฟัน
1. การทำความสะอาดช่องปาก
- การแปรงฟัน: คุณสามารถแปรงฟันได้ตามปกติ แต่ในช่วงแรกควรใช้ แปรงสีฟันขนนุ่ม และแปรงเบาๆ บริเวณที่ได้รับการรักษาเพื่อไม่ให้เกิดการระคายเคือง
- ไหมขัดฟัน: การใช้ไหมขัดฟันก็ยังคงจำเป็น แต่ให้ทำอย่างระมัดระวังบริเวณรอบๆ ฟันที่รักษา เพื่อไม่ให้ไปกระทบกระเทือนแผล
- น้ำยาบ้วนปาก: หากทันตแพทย์แนะนำให้ใช้น้ำยาบ้วนปากฆ่าเชื้อ ควรใช้ตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด จะช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อได้
2. การใช้ยาตามที่ทันตแพทย์สั่ง
- ยาแก้ปวด: ทันตแพทย์จะจัดยาแก้ปวดให้เพื่อบรรเทาอาการปวดที่อาจเกิดขึ้นในช่วง 1-3 วันแรก ควรทานยาตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
- ยาปฏิชีวนะ: หากมีการติดเชื้อ ทันตแพทย์อาจสั่งยาปฏิชีวนะเพื่อรักษา การทานยาให้ครบตามกำหนดเป็นสิ่งสำคัญมากเพื่อกำจัดเชื้อให้หมด ไม่ควรหยุดยาเองถึงแม้อาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม
3. การสังเกตอาการผิดปกติ อาการปวดเล็กน้อยหรือบวมเล็กน้อยเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าหากอาการเหล่านี้ไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน หรือมีอาการรุนแรงขึ้น เช่น:
- อาการปวดรุนแรง แม้จะทานยาแล้วก็ไม่บรรเทา
- อาการบวมมากขึ้น หรือมีหนองไหลออกมา
- มีไข้ หรือรู้สึกไม่สบายตัว
- วัสดุอุดฟันชั่วคราวหลุด ออกจากฟัน
หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบติดต่อกลับไปที่คลินิกทันตกรรมทันทีเพื่อรับคำแนะนำหรือเข้ารับการตรวจซ้ำ
ทำไมการใส่ครอบฟันถึงสำคัญหลังรักษารากฟัน?
การรักษารากฟันเป็นขั้นตอนที่ช่วยกำจัดเชื้อโรคและรักษาฟันที่มีปัญหาให้สามารถอยู่รอดได้ แต่กระบวนการนี้จะทำให้ฟันซี่นั้นมีความเปราะบางและอ่อนแอลงอย่างมาก การใส่ครอบฟันจึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่ขาดไม่ได้ เพื่อให้ฟันซี่นั้นกลับมาแข็งแรงและใช้งานได้เหมือนเดิม
1. ปกป้องฟันที่เปราะบาง
เมื่อฟันได้รับการรักษารากฟัน จะสูญเสียความชุ่มชื้นและสารอาหาร ที่เคยได้รับจากโพรงประสาทฟัน ทำให้เนื้อฟันแห้งและเปราะมากขึ้น ประกอบกับการที่ทันตแพทย์ต้องกรอฟันออกเพื่อทำความสะอาดภายในราก ทำให้ฟันมีโครงสร้างที่อ่อนแอลงอย่างมาก หากไม่ได้รับการปกป้องจากครอบฟัน ฟันซี่นั้นอาจ แตกหักได้ง่าย จากแรงบดเคี้ยวเพียงเล็กน้อย
2. ฟื้นฟูความสามารถในการบดเคี้ยว
ครอบฟันถูกออกแบบมาให้มีรูปร่างและขนาดใกล้เคียงกับฟันธรรมชาติ จึงช่วยให้คุณสามารถ บดเคี้ยวอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมั่นใจ โดยไม่ต้องกังวลว่าฟันจะแตกหรือหัก
3. ป้องกันการติดเชื้อซ้ำ
หลังจากอุดรากฟันเรียบร้อยแล้ว การใส่ครอบฟันจะช่วย ปิดช่องทางไม่ให้เชื้อโรค หรือแบคทีเรียจากภายนอกเข้าสู่ภายในรากฟันได้อีกครั้ง ซึ่งช่วยป้องกันการติดเชื้อซ้ำซ้อนและปัญหาอื่นๆ ที่อาจตามมาได้
4. เพิ่มความสวยงามและความมั่นใจ
ครอบฟันในปัจจุบันสามารถเลือกสีให้เข้ากับฟันซี่อื่นๆ ได้อย่างกลมกลืน จึงช่วย ฟื้นฟูรูปลักษณ์และความสวยงาม ของฟัน ทำให้คุณสามารถยิ้มได้อย่างมั่นใจโดยไม่มีฟันสีคล้ำหรือฟันที่ดูไม่สมบูรณ์
บทสรุปการดูแลตัวเองหลังรักษารากฟัน: กินอะไรได้บ้าง?
การดูแลตัวเองหลังรักษารากฟันเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ฟันฟื้นตัวได้เร็วและป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกินในช่วง 1-3 วันแรก ซึ่งเป็นช่วงที่ฟันยังบอบบางและอาจมีอาการปวดหรือเสียวฟัน
อาหารที่ควรเลือกกิน:
- อาหารเหลวและกึ่งเหลว: เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม ซุป หรือสมูทตี้ เพราะไม่ต้องใช้แรงเคี้ยวมาก
- อาหารอ่อนนุ่ม: เช่น ไข่ตุ๋น เต้าหู้ หรือปลาเนื้อขาวนึ่ง
- ของเย็น: ไอศกรีมหรือโยเกิร์ตเย็นๆ จะช่วยบรรเทาอาการปวดและลดบวมได้ดี
ข้อควรระวัง: ควร เคี้ยวอาหารในฝั่งตรงข้าม กับฟันที่ได้รับการรักษา
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง:
- อาหารแข็งและกรอบ: เช่น ถั่ว น้ำแข็ง หรือขนมกรุบกรอบ เพราะอาจทำให้ฟันแตกหรือหักได้ง่าย
- อาหารเหนียว: เช่น หมากฝรั่งหรือคาราเมล เพราะอาจทำให้วัสดุอุดฟันหลุด
- อาหารรสจัดและเครื่องดื่มร้อนจัด: อาจทำให้แผลระคายเคืองและปวดมากขึ้น
นอกจากการเลือกอาหารแล้ว การรักษาความสะอาดในช่องปากอย่างถูกวิธีและ การใส่ครอบฟัน ตามนัดหมายของทันตแพทย์ก็สำคัญมาก เพื่อปกป้องฟันที่เปราะบางให้กลับมาใช้งานได้อย่างแข็งแรงและยาวนานที่สุด
ที่ เพ็ชราคลินิก เราให้ความสำคัญกับการดูแลคนไข้ตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
โทร. 094-741-9369
เวลาเปิด-ปิด วันจันทร์-เสาร์ เวลา 09.00-19.00 น.
พิกัด: https://goo.gl/maps/qUCfWj9PNAhcPuyr8