รากฟันเทียมอยู่ได้กี่ปี? ปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลต่ออายุการใช้งาน

Petcharadentalclinic • August 15, 2025

รากฟันเทียมอยู่ได้กี่ปี? ปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลต่ออายุการใช้งาน

รากฟันเทียมอยู่ได้กี่ปี? ปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลต่ออายุการใช้งาน

เมื่อพูดถึงการแก้ไขปัญหาการสูญเสียฟัน "รากฟันเทียม" หรือ "Dental Implant" คือหนึ่งในทางเลือกที่ได้รับความนิยมสูงสุด ด้วยคุณสมบัติที่ใกล้เคียงกับฟันธรรมชาติมากที่สุด ทั้งในด้านความสวยงาม การใช้งาน และความแข็งแรงทนทาน แต่คำถามที่หลายคนสงสัยคือ "รากฟันเทียมอยู่ได้กี่ปี?"

รากฟันเทียมสามารถอยู่กับคุณได้นาน หากได้รับการดูแลที่ถูกต้อง แต่ก็มีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่ออายุการใช้งาน บทความนี้จะเจาะลึกถึงปัจจัยเหล่านั้น เพื่อให้คุณเข้าใจและเตรียมพร้อมสำหรับการดูแลรากฟันเทียมอย่างถูกวิธี


รากฟันเทียมคืออะไร และทำไมถึงเป็นทางเลือกที่ดี?


รากฟันเทียมคืออะไร

รากฟันเทียมคือวัสดุที่ทำจากไทเทเนียม ซึ่งเป็นวัสดุที่เข้ากันได้ดีกับร่างกายมนุษย์ (Biocompatible) โดยทันตแพทย์จะทำการฝังรากฟันเทียมลงไปในกระดูกขากรรไกรเพื่อทำหน้าที่เป็นรากฟันจริง จากนั้นจึงจะใส่ครอบฟันลงบนรากเทียมอีกที ทำให้สามารถใช้งานได้เหมือนฟันธรรมชาติทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นการบดเคี้ยวอาหาร หรือการออกเสียง


รากฟันเทียม (Dental Implant) คือนวัตกรรมการทดแทนฟันที่สูญเสียไปอย่างมีประสิทธิภาพที่สุดในปัจจุบัน ประกอบด้วยวัสดุสำคัญ 3 ส่วน ได้แก่ รากฟันเทียม, เดือยรองรับครอบฟัน (Abutment) และ ครอบฟัน (Crown)

  • รากฟันเทียม: ทำจากโลหะไทเทเนียมบริสุทธิ์ 100% ซึ่งเป็นวัสดุที่ได้รับการยอมรับทางการแพทย์ว่ามีความเข้ากันได้ทางชีวภาพ (Biocompatible) กับร่างกายมนุษย์สูงมาก ทันตแพทย์จะทำการฝังรากเทียมนี้ลงไปในกระดูกขากรรไกร เพื่อทำหน้าที่เป็นรากฟันจริงและเป็นฐานที่มั่นคงสำหรับครอบฟัน
  • เดือยรองรับครอบฟัน (Abutment): เป็นส่วนที่เชื่อมต่อระหว่างรากฟันเทียมกับครอบฟัน ทำหน้าที่เป็นฐานยึดครอบฟันให้แน่นหนา
  • ครอบฟัน (Crown): เป็นส่วนที่อยู่บนสุด ซึ่งทันตแพทย์จะทำขึ้นให้มีรูปร่าง สี และขนาดใกล้เคียงกับฟันธรรมชาติมากที่สุด เพื่อความสวยงามและการใช้งานที่สมบูรณ์แบบ

 สามารถอ่านบทความเต็มเรื่อง รากฟันเทียมได้ที่นี่


ทำไมรากฟันเทียมถึงเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า?


รากฟันเทียมไม่ใช่แค่การเติมเต็มช่องว่างที่หายไป แต่เป็นการคืนฟังก์ชันการทำงานของฟันอย่างแท้จริง ซึ่งแตกต่างจากการรักษาแบบเดิม ๆ ที่มีข้อจำกัดหลายอย่าง

  • ฟันปลอมแบบถอดได้: ไม่มีความมั่นคง หลุดง่าย ทำให้บดเคี้ยวอาหารได้ไม่เต็มที่ และอาจทำให้รู้สึกไม่สบายเหงือก อีกทั้งยังไม่สามารถป้องกันการยุบตัวของกระดูกขากรรไกรได้
  • สะพานฟัน: เป็นการยึดฟันปลอมเข้ากับฟันซี่ข้างเคียงโดยการกรอฟันธรรมชาติให้เล็กลงเพื่อใช้เป็นหลักยึด ซึ่งเป็นการทำลายเนื้อฟันดี ๆ ที่แข็งแรงให้ต้องเสียหาย และยังไม่สามารถป้องกันการยุบตัวของกระดูกใต้ช่องว่างได้เช่นกัน


ข้อดีหลักของรากฟันเทียม

  1. ฟังก์ชันการทำงานใกล้เคียงฟันธรรมชาติ: สามารถบดเคี้ยวอาหารได้เหมือนฟันปกติ ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องข้อจำกัดในการรับประทานอาหาร
  2. รักษาสภาพกระดูกขากรรไกร: การฝังรากฟันเทียมจะช่วยกระตุ้นการสร้างกระดูกบริเวณนั้น ทำให้กระดูกไม่ยุบตัวลง ซึ่งช่วยรักษารูปหน้าไม่ให้เปลี่ยนแปลงไป
  3. ไม่ทำลายฟันธรรมชาติข้างเคียง: การทำรากฟันเทียมจะติดตั้งลงไปที่กระดูกขากรรไกรโดยตรง ทำให้ไม่จำเป็นต้องกรอฟันซี่ข้างเคียงเพื่อใช้เป็นหลักยึด
  4. ความสวยงามและมั่นใจ: ครอบฟันจะถูกออกแบบมาให้มีรูปลักษณ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ และยึดติดแน่นหนา ไม่หลุดง่าย ทำให้คุณยิ้มและพูดคุยได้อย่างมั่นใจในทุกสถานการณ์
  5. อายุการใช้งานยาวนาน: ตัวรากฟันเทียมที่ฝังอยู่ในกระดูกสามารถอยู่ได้ตลอดชีวิตหากได้รับการดูแลอย่างถูกวิธี



รากฟันเทียมอยู่ได้กี่ปี?

โดยทั่วไปแล้ว ตัวรากฟันเทียม (ส่วนที่ฝังอยู่ในกระดูกขากรรไกร) สามารถอยู่ได้ยาวนานถึง 10-20 ปี หรือตลอดชีวิต โดยมีอัตราความสำเร็จสูงถึง 95-98% ในขณะที่ส่วนของครอบฟันที่อยู่ด้านบน อาจต้องมีการเปลี่ยนใหม่ทุกๆ 5-15 ปี ขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้และการดูแลรักษา


ปัจจัยที่ส่งผลต่ออายุการใช้งานของรากฟันเทียม

อายุการใช้งานของรากฟันเทียมไม่ได้ขึ้นอยู่กับวัสดุเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยสำคัญดังนี้


1. สุขภาพช่องปากและสุขอนามัย นี่คือปัจจัยที่สำคัญที่สุด! การดูแลความสะอาดเป็นหัวใจสำคัญในการยืดอายุรากฟันเทียม หากปล่อยให้มีการสะสมของคราบแบคทีเรียและหินปูนรอบๆ รากฟันเทียม อาจทำให้เกิด โรคเหงือกอักเสบ (Peri-implantitis) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้รากฟันเทียมล้มเหลวได้

แนวทางปฏิบัติที่ต้องทำเป็นประจำ:

  • แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง: ควรใช้แปรงสีฟันขนนุ่ม และแปรงอย่างเบามือให้ทั่วถึงทั้งฟันธรรมชาติและบริเวณรากฟันเทียม เพื่อกำจัดเศษอาหารและคราบแบคทีเรีย
  • ใช้ไหมขัดฟันและอุปกรณ์ทำความสะอาดซอกฟันทุกวัน: การทำความสะอาดบริเวณซอกฟันและรอบ ๆ รากฟันเทียมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นบริเวณที่แปรงสีฟันเข้าไม่ถึง คุณสามารถปรึกษาทันตแพทย์เพื่อขอคำแนะนำในการเลือกใช้ไหมขัดฟันหรือแปรงซอกฟันที่เหมาะสม
  • พบทันตแพทย์เป็นประจำ: ควรเข้าตรวจสุขภาพช่องปากและขูดหินปูนทุก ๆ 6 เดือน เพื่อให้ทันตแพทย์ช่วยตรวจเช็คสภาพของรากฟันเทียมและทำความสะอาดคราบหินปูนที่อาจเกาะสะสมอยู่


2. สภาพกระดูกและสุขภาพโดยรวม
ความแข็งแรงและปริมาณกระดูกขากรรไกรที่เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการรองรับรากฟันเทียม หากกระดูกไม่แข็งแรงพอ รากฟันเทียมก็อาจไม่ยึดติดได้ดี ทำให้หลวมหรือล้มเหลวในที่สุด

ข้อควรระวัง:

  • โรคประจำตัว: ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดี, โรคกระดูกพรุน, หรือผู้ที่ต้องรับประทานยากดภูมิคุ้มกัน ควรปรึกษาทันตแพทย์อย่างละเอียดก่อน เพราะโรคเหล่านี้อาจส่งผลต่อการสมานแผลและการยึดติดของรากฟันเทียม
  • การสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้กระบวนการสมานแผลช้าลงและลดโอกาสที่รากฟันเทียมจะยึดติดกับกระดูกได้อย่างสมบูรณ์


3. วัสดุที่ใช้และคุณภาพของคลินิก

  • วัสดุรากฟันเทียม: รากฟันเทียมที่มีคุณภาพสูงจากแบรนด์ที่น่าเชื่อถือจะมีการออกแบบและวัสดุที่ทนทานกว่า
  • ครอบฟัน: ครอบฟันที่ทำจากวัสดุที่มีคุณภาพ เช่น เซรามิก, เซอร์โคเนีย จะมีความสวยงามและทนทานกว่า
  • ความเชี่ยวชาญของทันตแพทย์: ทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านรากฟันเทียมโดยเฉพาะจะสามารถวางแผนการรักษาได้อย่างถูกต้องแม่นยำ และทำการผ่าตัดได้อย่างปลอดภัย ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในระยะยาว


4. การใช้งานและการดูแลรักษา การใช้งานอย่างถูกวิธีจะช่วยยืดอายุการใช้งานของรากฟันเทียมได้

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง:

  • การใช้ฟันกัดของแข็ง: ไม่ควรใช้ฟันเทียมกัดน้ำแข็ง หรือเปิดขวด เพราะอาจทำให้ครอบฟันแตกหรือเสียหายได้
  • การบดเคี้ยวที่ผิดปกติ: หากมีพฤติกรรมนอนกัดฟัน ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อทำเฝือกสบฟัน (Occlusal Splint) เพื่อป้องกันความเสียหาย



คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับอายุการใช้งานของรากฟันเทียม

1. รากฟันเทียมสามารถอยู่ได้นานแค่ไหน? 

โดยเฉลี่ยแล้ว ตัวรากฟันเทียม (ส่วนที่ฝังอยู่ในกระดูก) สามารถอยู่ได้ยาวนานถึง 10-20 ปี หรืออาจอยู่ได้ตลอดชีวิตหากได้รับการดูแลอย่างดี ในขณะที่ส่วนของครอบฟันที่อยู่ด้านบน อาจต้องมีการเปลี่ยนใหม่ทุกๆ 5-15 ปี ขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้และการดูแลรักษา


2. อะไรคือปัจจัยหลักที่ทำให้อายุการใช้งานของรากฟันเทียมสั้นลง? 

ปัจจัยหลักคือการดูแลสุขภาพช่องปากที่ไม่ดีพอ ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดโรคเหงือกอักเสบรอบรากเทียม (Peri-implantitis) นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่น ๆ เช่น การสูบบุหรี่ โรคประจำตัวบางอย่างที่ไม่สามารถควบคุมได้ (เช่น เบาหวาน) และการใช้งานที่ผิดวิธี เช่น การใช้ฟันกัดของแข็ง


3. การสูบบุหรี่มีผลต่อรากฟันเทียมอย่างไร? 

การสูญเสียฟันเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อทั้งการใช้ชีวิตประจำวันและความมั่นใจ การทำ รากฟันเทียม จึงเป็นทางออกที่ช่วยคืนรอยยิ้มที่สมบูรณ์แบบได้ แต่สำหรับผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำ การตัดสินใจทำรากฟันเทียมนั้นมีปัจจัยสำคัญที่คุณต้องพิจารณาอย่างจริงจัง เพราะการสูบบุหรี่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสำเร็จและอายุการใช้งานของรากฟันเทียมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

1. การไหลเวียนเลือดแย่ลง ทำให้แผลหายช้า

ควันบุหรี่มีสารเคมีที่เป็นอันตรายหลายชนิด ซึ่งส่งผลให้หลอดเลือดในช่องปากหดตัว การไหลเวียนของเลือดบริเวณเหงือกและกระดูกขากรรไกรจึงลดลงอย่างมาก เลือดที่ไปเลี้ยงไม่เพียงพอทำให้ร่างกายไม่สามารถส่งสารอาหารและออกซิเจนไปซ่อมแซมเซลล์ในบริเวณที่ฝังรากฟันเทียมได้ดีเท่าที่ควร ทำให้กระบวนการสมานแผลหลังการผ่าตัดช้าลงอย่างเห็นได้ชัด


นอกจากนี้ การที่เลือดไปเลี้ยงไม่พอ ยังส่งผลกระทบต่อกระบวนการสำคัญที่เรียกว่า Osseointegration ซึ่งเป็นการที่รากฟันเทียมจะยึดติดกับกระดูกขากรรไกรอย่างสมบูรณ์ หากกระบวนการนี้ไม่เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ รากฟันเทียมก็จะยึดเกาะกับกระดูกได้ไม่มั่นคง และอาจทำให้การรักษาล้มเหลวได้ในที่สุด

2. เพิ่มความเสี่ยงของโรคเหงือกและโรคเหงือกอักเสบรอบรากเทียม

การสูบบุหรี่ยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คุณมีโอกาสเกิด โรคเหงือกอักเสบ ได้ง่ายกว่าคนทั่วไป สารนิโคตินและสารอื่น ๆ ในบุหรี่จะไปทำลายเซลล์เยื่อบุผิวในช่องปาก ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ไม่เต็มที่ เมื่อมีการสะสมของแบคทีเรียและคราบพลัคบริเวณรากฟันเทียม ก็จะทำให้เกิดการอักเสบที่เรียกว่า Peri-implantitis ได้


โรคเหงือกอักเสบรอบรากเทียมนี้เป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะเป็นการอักเสบที่เกิดขึ้นรอบ ๆ รากฟันเทียม หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที การอักเสบจะลุกลามไปยังกระดูกที่ยึดรากฟันเทียมอยู่ ทำให้กระดูกถูกทำลายและรากฟันเทียมไม่มั่นคงจนต้องถอดออกในที่สุด


3. ผลกระทบต่อสุขภาพช่องปากโดยรวม

นอกจากสองปัจจัยหลักข้างต้น การสูบบุหรี่ยังส่งผลเสียต่อสุขภาพช่องปากในหลายด้าน เช่น

  • ปากแห้ง: การสูบบุหรี่ทำให้การผลิตน้ำลายลดลง ซึ่งน้ำลายมีหน้าที่สำคัญในการชะล้างแบคทีเรีย การที่น้ำลายลดลงจึงเพิ่มความเสี่ยงของฟันผุและโรคเหงือก
  • สีฟันคล้ำ: คราบนิโคตินทำให้ฟันเหลืองและเกิดคราบฝังแน่น
  • เพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งช่องปาก: ผู้ที่สูบบุหรี่มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นมะเร็งช่องปาก


4. มีโรคประจำตัวอะไรบ้างที่ส่งผลต่ออายุการใช้งานของรากฟันเทียม?
 

การตัดสินใจทำ รากฟันเทียม เพื่อทดแทนฟันที่หายไปถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับสุขภาพช่องปากในระยะยาว แต่สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาคือสุขภาพร่างกายโดยรวมของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสำเร็จและอายุการใช้งานของรากฟันเทียมได้

1. โรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้

ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานมีความเสี่ยงสูงที่จะมีปัญหาในการสมานแผล เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงจะส่งผลต่อการทำงานของหลอดเลือดและระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้แผลหายช้าและเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น

สำหรับรากฟันเทียมนั้นจำเป็นต้องใช้เวลาในการยึดติดกับกระดูกขากรรไกรอย่างสมบูรณ์ (Osseointegration) ซึ่งหากระดับน้ำตาลในเลือดไม่คงที่ กระบวนการนี้อาจเกิดได้ไม่ดีเท่าที่ควร ทำให้รากฟันเทียมไม่มั่นคงและอาจล้มเหลวในที่สุด

คำแนะนำ: ผู้ป่วยเบาหวานควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวและทันตแพทย์อย่างใกล้ชิด เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติอย่างสม่ำเสมอก่อนและหลังการผ่าตัด


2. โรคกระดูกพรุน

โรคกระดูกพรุนเป็นภาวะที่กระดูกมีความหนาแน่นลดลงและเปราะบาง ทำให้เสี่ยงต่อการหักได้ง่าย การทำรากฟันเทียมจำเป็นต้องมีกระดูกขากรรไกรที่แข็งแรงและมีความหนาแน่นเพียงพอเพื่อเป็นฐานรองรับที่มั่นคง

นอกจากนี้ ยาบางชนิดที่ใช้รักษาโรคกระดูกพรุน เช่น ยากลุ่ม Bisphosphonates ก็อาจส่งผลต่อการสร้างกระดูกใหม่ ทำให้กระบวนการสมานแผลรอบรากฟันเทียมมีปัญหาและเพิ่มความเสี่ยงที่รากฟันเทียมจะไม่ยึดติดกับกระดูก

คำแนะนำ: ผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนควรแจ้งประวัติการใช้ยาให้ทันตแพทย์ทราบ เพื่อให้ทันตแพทย์สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย


3. ผู้ที่ต้องรับประทานยากดภูมิคุ้มกัน

ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือผู้ที่ต้องรับประทานยากดภูมิคุ้มกัน เช่น ผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ อาจมีความเสี่ยงที่ร่างกายจะต่อต้านสิ่งแปลกปลอมได้ง่ายกว่าปกติ ทำให้โอกาสที่รากฟันเทียมจะยึดติดกับกระดูกลดลง อีกทั้งยังมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหลังการผ่าตัดสูงกว่าคนทั่วไปอีกด้วย

คำแนะนำ: การปรึกษาทันตแพทย์และแพทย์ประจำตัวเพื่อประเมินความเสี่ยงและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง


5. ทำไมต้องไปพบทันตแพทย์เป็นประจำหลังทำรากฟันเทียม?
 

การตัดสินใจทำ รากฟันเทียม ถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยคืนความมั่นใจและคุณภาพชีวิตให้คุณได้ แต่การจะรักษารากฟันเทียมให้อยู่กับคุณไปตลอดชีวิตนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่แค่ขั้นตอนการผ่าตัดที่ประสบความสำเร็จเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอหลังการผ่าตัดด้วย ซึ่งการเข้าพบทันตแพทย์เป็นประจำคือหัวใจสำคัญที่คุณไม่ควรมองข้าม

1. การตรวจเช็คเชิงรุก: ป้องกันปัญหาก่อนลุกลาม

หลายคนอาจคิดว่ารากฟันเทียมไม่ผุ จึงไม่จำเป็นต้องไปพบทันตแพทย์บ่อย ๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว รากฟันเทียมก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคเหงือกอักเสบรอบรากเทียม (Peri-implantitis) ซึ่งเป็นการติดเชื้อที่สามารถทำลายกระดูกรอบ ๆ รากฟันเทียมได้


การนัดตรวจสุขภาพฟันทุก 6 เดือน จะช่วยให้ทันตแพทย์สามารถประเมินสุขภาพของเหงือกและกระดูกรอบ ๆ รากฟันเทียมได้อย่างละเอียด หากพบความผิดปกติในระยะเริ่มต้น ก็จะสามารถแก้ไขได้ทันท่วงที ก่อนที่ปัญหาจะลุกลามจนยากต่อการรักษา และอาจนำไปสู่การสูญเสียรากฟันเทียมในที่สุด


2. การทำความสะอาดอย่างล้ำลึก: กำจัดคราบหินปูนที่สะสม

แม้ว่าคุณจะแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันทุกวัน แต่ก็ยังมีคราบหินปูนบางส่วนที่สามารถสะสมอยู่รอบ ๆ รากฟันเทียมได้ ซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของแบคทีเรียและเป็นสาเหตุหลักของโรคเหงือก

การนัดทำความสะอาดฟันกับทันตแพทย์เป็นประจำ จะช่วยขจัดคราบหินปูนที่แข็งและฝังแน่นได้อย่างหมดจด ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยให้ช่องปากสะอาดขึ้น แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเหงือกอักเสบและยืดอายุการใช้งานของรากฟันเทียมให้ยาวนานยิ่งขึ้น


3. การให้คำแนะนำที่เหมาะสม: เพื่อการดูแลที่ถูกต้อง

ในแต่ละครั้งที่เข้าพบ ทันตแพทย์จะประเมินการใช้งานและสภาพช่องปากของคุณ และให้คำแนะนำที่เหมาะสมสำหรับการดูแลรากฟันเทียมที่บ้าน เช่น

  • การเลือกใช้แปรงสีฟันและไหมขัดฟันที่เหมาะสม
  • เทคนิคการแปรงฟันที่ถูกต้องเพื่อทำความสะอาดบริเวณรากฟันเทียม
  • การใช้อุปกรณ์ทำความสะอาดซอกฟันเพื่อกำจัดเศษอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัด จะช่วยให้คุณดูแลรากฟันเทียมได้อย่างถูกต้องและมั่นใจ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้รอยยิ้มที่สวยงามของคุณคงอยู่ตลอดไป


6. ควรดูแลรากฟันเทียมอย่างไรในชีวิตประจำวัน?
 

การทำ รากฟันเทียม ถือเป็นการลงทุนเพื่อรอยยิ้มที่มั่นใจและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่การจะรักษารากฟันเทียมให้อยู่กับคุณไปได้นาน ๆ นั้น ไม่ได้เป็นเรื่องยุ่งยากอย่างที่คิด เพราะหลักการดูแลนั้นคล้ายคลึงกับการดูแลฟันธรรมชาติเลยครับ เพียงแค่ใส่ใจและทำอย่างสม่ำเสมอ

1. แปรงฟันให้ถูกวิธี วันละ 2 ครั้ง

หัวใจหลักของการดูแลสุขภาพช่องปากคือการแปรงฟัน การแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง (เช้าและก่อนนอน) จะช่วยกำจัดเศษอาหารและคราบแบคทีเรียที่สะสมอยู่ตามผิวฟันและรากฟันเทียมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เคล็ดลับ: ควรใช้แปรงสีฟันที่มีขนแปรงนุ่ม เพื่อไม่ให้เกิดการระคายเคืองต่อเหงือก และแปรงอย่างเบามือให้ทั่วถึงทั้งฟันธรรมชาติและบริเวณรากฟันเทียม โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่รากฟันเทียมเชื่อมต่อกับเหงือก


2. ใช้ไหมขัดฟันทุกวัน

การแปรงฟันเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ เพราะยังมีเศษอาหารและคราบแบคทีเรียที่ซ่อนตัวอยู่ตามซอกฟันและบริเวณรอบ ๆ รากฟันเทียมที่แปรงสีฟันเข้าไม่ถึง การใช้ ไหมขัดฟัน เป็นประจำทุกวันจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง

เคล็ดลับ: หากต้องการความสะดวกมากขึ้น คุณสามารถปรึกษาทันตแพทย์เพื่อขอคำแนะนำในการใช้อุปกรณ์ทำความสะอาดซอกฟัน (Interdental Brush) หรือเครื่องฉีดน้ำทำความสะอาดฟัน (Water Flosser) ซึ่งจะช่วยทำความสะอาดบริเวณที่เข้าถึงยากได้อย่างมีประสิทธิภาพ


3. หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง

แม้ว่ารากฟันเทียมจะมีความแข็งแรงทนทาน แต่การใช้งานอย่างไม่ระมัดระวังก็อาจทำให้เกิดความเสียหายได้

สิ่งที่คุณควรหลีกเลี่ยง:

  • การใช้ฟันกัดของแข็ง: ไม่ควรใช้รากฟันเทียมหรือฟันธรรมชาติกัดอาหารแข็ง ๆ เช่น น้ำแข็ง, ถั่วเปลือกแข็ง, หรือใช้เปิดฝาขวด เพราะอาจทำให้ครอบฟันแตกหรือรากฟันเทียมเสียหายได้
  • การนอนกัดฟัน: หากคุณมีพฤติกรรมนอนกัดฟัน ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อทำเฝือกสบฟัน (Occlusal Splint) เพื่อป้องกันไม่ให้รากฟันเทียมและฟันได้รับแรงกระแทกมากเกินไป


7. ครอบฟันบนรากฟันเทียมสามารถเปลี่ยนได้หรือไม่?
 

การทำรากฟันเทียมเป็นการรักษาที่ช่วยทดแทนฟันที่หายไปได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งประกอบด้วย 3 ส่วนสำคัญ ได้แก่ รากฟันเทียม, เดือยรองรับ, และ ครอบฟัน โดยส่วนที่หลายคนมักมีคำถามคือ “แล้วครอบฟันด้านบนสามารถเปลี่ยนได้ไหม?” คำตอบคือ สามารถเปลี่ยนได้ครับ และการเปลี่ยนครอบฟันใหม่ก็เป็นส่วนหนึ่งของการดูแลรักษาในระยะยาว


อ่านบทความ การครอบฟันได้ที่นี่


ครอบฟันมีอายุการใช้งานจำกัดกว่ารากเทียม

รากฟันเทียมที่ฝังอยู่ในกระดูกขากรรไกรนั้นทำจากไทเทเนียม ซึ่งมีความทนทานและสามารถอยู่กับเราได้ตลอดชีวิตหากดูแลอย่างถูกต้อง แต่สำหรับ ครอบฟัน ที่อยู่ด้านบน ซึ่งเป็นส่วนที่สัมผัสกับอาหารและแรงบดเคี้ยวโดยตรง จะมีอายุการใช้งานที่จำกัดกว่า โดยเฉลี่ยแล้วสามารถใช้งานได้ประมาณ 5-15 ปี ขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้และการใช้งานในชีวิตประจำวัน


สัญญาณที่บอกว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนครอบฟัน

ทันตแพทย์จะแนะนำให้คุณเปลี่ยนครอบฟันใหม่เมื่อพบสัญญาณเหล่านี้:

  1. ครอบฟันแตกหรือร้าว: อาจเกิดจากการกัดอาหารแข็ง ๆ หรืออุบัติเหตุ
  2. ครอบฟันสึกหรอ: เมื่อใช้งานไปนาน ๆ ผิวของครอบฟันอาจเกิดการสึกหรอ ทำให้ไม่สามารถบดเคี้ยวอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  3. สีครอบฟันเปลี่ยน: ครอบฟันอาจมีการเปลี่ยนสีตามการใช้งาน หรือสีไม่เข้ากับฟันธรรมชาติซี่อื่น ๆ ที่มีการฟอกสีฟันใหม่
  4. ครอบฟันหลวม: หากรู้สึกว่าครอบฟันไม่แน่นหนาเหมือนเดิม อาจถึงเวลาที่ต้องให้ทันตแพทย์ตรวจเช็ค


ขั้นตอนการเปลี่ยนครอบฟัน: ง่ายกว่าที่คุณคิด

การเปลี่ยนครอบฟันใหม่นั้นไม่ยุ่งยากเท่ากับการทำรากฟันเทียมครั้งแรก เพราะไม่ต้องมีการผ่าตัดใหม่ โดยทันตแพทย์จะทำการถอดครอบฟันเดิมออก และทำการพิมพ์ปากเพื่อสร้างครอบฟันชิ้นใหม่ขึ้นมาให้มีรูปร่างและสีที่เข้ากับฟันธรรมชาติของคุณ หลังจากนั้นจึงทำการติดตั้งครอบฟันใหม่เข้าไปบนเดือยรองรับเดิม ซึ่งใช้เวลาไม่นานและไม่เจ็บปวด


การทำ
รากฟันเทียม ถือเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่สูญเสียฟัน เพราะช่วยคืนฟังก์ชันการใช้งานและความมั่นใจในการยิ้มได้อย่างเป็นธรรมชาติ แต่คำถามที่หลายคนสงสัยคือ "รากฟันเทียมอยู่ได้กี่ปี?" คำตอบคือ รากฟันเทียมสามารถอยู่กับคุณได้ตลอดชีวิต หากได้รับการดูแลอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอ

อายุการใช้งานของรากฟันเทียมไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัววัสดุเพียงอย่างเดียว แต่มีหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบโดยตรง ได้แก่:

  • สุขภาพช่องปากที่ดี: การแปรงฟัน ใช้ไหมขัดฟัน และเข้าพบทันตแพทย์เป็นประจำทุก 6 เดือน คือหัวใจสำคัญที่จะช่วยป้องกันการเกิดโรคเหงือกอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้รากฟันเทียมล้มเหลว
  • สุขภาพร่างกายโดยรวม: ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ หรือโรคกระดูกพรุน รวมถึงผู้ที่สูบบุหรี่ มีความเสี่ยงที่รากฟันเทียมจะไม่ยึดติดกับกระดูกได้ดีเท่าที่ควร
  • การใช้งานอย่างถูกวิธี: หลีกเลี่ยงการใช้ฟันกัดของแข็ง และหากมีพฤติกรรมการนอนกัดฟัน ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น



ที่ เพ็ชราคลินิก เราเข้าใจดีว่าการดูแลรากฟันเทียมในระยะยาวมีความสำคัญไม่แพ้ขั้นตอนการรักษา เราจึงให้ความสำคัญกับการให้คำปรึกษาอย่างละเอียดตั้งแต่ต้น เพื่อประเมินสุขภาพช่องปากและร่างกายโดยรวมของคุณอย่างรอบด้าน และวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุดโดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ


เรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการทำรากฟันเทียมโดยเฉพาะ และเลือกใช้รากฟันเทียมคุณภาพสูงจากแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ พร้อมทั้งให้คำแนะนำและดูแลอย่างใกล้ชิดหลังการรักษา เพื่อให้มั่นใจว่ารอยยิ้มของคุณจะสวยงาม แข็งแรง และอยู่กับคุณไปอีกนานแสนนาน


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

 โทร. 094-741-9369


 เวลาเปิด-ปิด วันจันทร์-เสาร์ เวลา 09.00-19.00 น.
พิกัด: 
https://goo.gl/maps/qUCfWj9PNAhcPuyr8

ปรึกษาทันตแพทย์

บทความอื่นๆ

อาการหลังผ่าตัดรากฟันเทียม ปวด บวม ช้ำ รับมืออย่างไร
By Petcharadentalclinic August 13, 2025
การผ่าตัดรากฟันเทียมเป็นที่นิยมในการทดแทนฟันที่สูญเสียไป อาจมีอาการข้างเคียงต่างๆ เช่น อาการปวด บวม บทความนี้จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับการรับมืออาการเหล่านี้อย่างถูกวิธี
รากฟันเทียม สะพานฟัน เลือกแบบไหนดีที่สุดสำหรับคุณ
By Petcharadentalclinic August 11, 2025
บทนนี้บอกความแตกต่าง ข้อดี ข้อเสีย และปัจจัยที่ควรพิจารณาในการเลือกระหว่างรากฟันเทียมและสะพานฟัน เพื่อให้คุณตัดสินใจได้ว่าแบบไหนที่เหมาะสมและคุ้มค่าที่สุดสำหรับคุณ
ดูแลรากฟันเทียมอย่างไรให้อยู่ได้นาน คู่มือฉบับสมบูรณ์เพื่อรอยยิ้มที่ยั่งยืน
By Petcharadentalclinic August 8, 2025
ดูแลรากฟันเทียมอย่างไร บทความนี้จะนำคุณไปสู่การดูแลรากฟันเทียม ตั้งแต่การทำความสะอาดไปจนถึงพฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง เพื่อให้รากฟันเทียมของคุณคงทนและแข็งแรงไปนานๆ